วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2554


ปัจจุบัน แล็ปท็อป หรือ โน้ตบุ๊ก กลายเป็นอุปกรณ์สุดไฮเทค ที่จำเป็นสำหรับวัยรุ่นหรือหนุ่มสาววัยทำงานหลายคนไปซะแล้ว นับตั้งแต่คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทกับเรา ๆ ไปซะทุกด้าน และโน้ตบุ๊กก็ดูเหมือนจะเป็นคอมพิวเตอร์ที่แสนฮิตฮอตซะเหลือเกิน เพราะมันสามารถพกพาไปไหนได้สบาย และด้วยความสะดวกสบาย พกพาง่ายของมันนี่แหละ ทำให้เจ้าโน้ตบุ๊กสามารถเล่นได้ทุกที่ทุกเวลา แม้จะไม่มีโต๊ะให้วาง ก็วางบนตักของตัวเองได้อย่างง่าย ๆ พอ ๆ กับที่มันก็ทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อนขึ้นมาได้อย่างง่าย ๆ อีกเช่นกัน

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าการเล่นโน้ตบุ๊กบนตักนั้น ทำให้คนเจ็บป่วยกับมันได้จริง ๆ เหมือนกับกรณีของเด็กชายวัย 12 ปีชาวอเมริกัน ที่ติดนิสัยชอบเล่นโน้ตบุ๊กไว้บนตัก แล้วอยู่กับมันวันละ 2-3 ชั่วโมง ปรากฏว่า 2 เดือนให้หลัง ผิวของเด็กก็ไหม้และด่างโดยไม่รู้ตัวเลยทีเดียว

นอกจากนี้ ยังมีผู้ใช้โน้ตบุ๊กอีกกว่า 10 ราย รายงานเข้ามาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2007 ว่าความร้อนจากโน้ตบุ๊ก ทำให้ผิวไหม้และทำให้ผิวด่างเช่นเดียวกันกับกรณีดังกล่าว ขณะที่ทางทีมแพทย์เชื่อว่า คงจะมีผู้ที่ได้รับอันตรายจากความร้อนใต้โน้ตบุ๊กมากกว่านั้นอย่างแน่นอน

งานนี้ บรรดาแพทย์ชาวอเมริกันก็เลยออกมาเตือนว่า ความร้อนที่ระบายออกมาบริเวณใต้โน๊ตบุ๊คนั้น ทำให้ผิวไหม้และหากติดนิสัยเล่นโน้ตบุ๊กบนตักนาน ๆ ก็จะทำให้เป็นมะเร็งบริเวณหัวเข่าหรือต้นขาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้านี้ ที่หลายคนชอบเอาโน้ตบุ๊กวางบนตักซะเหลือเกิน เพราะมันทำให้รู้สึกอุ่นขึ้นได้ โดยไม่คำนึงถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น แพทย์จึงแนะนำให้ผู้ที่ชอบวางโน้ตบุ๊กไว้บนตัก เปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองเสียตั้งแต่บัดนี้ ขณะที่ทางด้านบริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์อย่างแอปเปิ้ล และเดลล์ ก็เคยเตือนผู้ใช้ว่าอย่าวางโน้ตบุ๊กไว้บนตักเช่นกัน ทั้งนี้ ก็เพียงแค่อยากให้ผู้ใช้ได้ตระหนักถึงอันตรายระยะยาว ซึ่งอาจจะทำให้เกิดมะเร็งได้ในอนาคต



หลังจากเกิดเหตุแผ่นดินไหวและสึนามิถล่มประเทศญี่ปุ่นไปเมื่อวันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 2554 ที่ผ่านมา ได้สร้างความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงให้กับประเทศญี่ปุ่น ทั้งทรัพย์สิน จิตใจ ชีวิต รวมไปถึงภาพรวมของเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ

แต่ที่ทำให้หลายคนวิตกกันมากขึ้นคือโรงงานไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์เกิดระเบิดขึ้น ทำให้มีสารกัมมันตรังสีรั่วไหลออกมาปนเปื้อนเป็นจำนวนมาก ซึ่งในขณะนี้ก็มีมาตรการป้องกันระดับสูงออกมาแล้วเช่นกัน โดยหลังการระบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ก็มีการอพยพผู้คนในพื้นที่ออกมากว่า 180,000 คน และดำเนินการจำกัดพื้นที่การแพร่กระจายต่อไป แต่อย่าเพิ่งกังวลไปว่าจะมีการแพร่กระจายมายังประเทศใกล้เคียงรวมถึงบ้านเรา เพราะองค์การอนามัยโลกออกมาประกาศแล้วว่ายังไม่ีมีรายงานการแพร่กระจายของสารกัมมันตรังสียังประเทศอื่น หรือสร้างความเสียหายแก่ระบบนิเวศจนมีผลกระทบต่อเรา แต่เพื่อเป็นความรู้เบื้องต้น เราลองไปทราบถึงอันตรายและทางป้องกันสารกัมมันตรังสีกันหน่อยดีกว่าค่ะ


อันตรายเบื้องต้นจากสารกัมมันตรังสี


ศาสตรจารย์โดนัลด์ โอแลนเดอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมนิวเคลียร์แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียออกมาเตือนว่า สารกัมมันตรังสีที่แพร่กระจายออกมาปนเปื้อน เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง หรือเร่งการเกิดมะเร็งในผู้ป่วยบางรายที่อาจจะมีเซลล์มะเร็งอยู่แล้ว แต่ในเบื้องต้นสารกัมมันตรังสีที่มีระดับสูงอาจจะก่อให้เกิดมะเร็งต่อมไทรอยด์ได้ในทันที แต่ในระยะยาวอาจเกิดการสะสมของฝุ่นกัมมันตภาพหลายปีจนก่อให้เกิดมะเร็งในส่วนอื่น ๆ เช่น มะเร็งกระดูก มะเร็งรังไข่ ลูคีเมีย เป็นต้น เด็กเล็กและทารกในครรภ์เป็นกลุ่มที่เสี่ยงมากจากการได้รับอันตรายจากสารกัมมันตรังสี ซึ่งในร่างกายของผู้ใหญ่ปกติจะมีกระบวนการรักษาและซ่อมแซมดีเอ็นเอที่มีการเปลี่ยนแปลงหรือถูกทำลายได้เองหากกระบวนการนั้น เกิดขึ้นไวกว่าการถูกทำลาย แต่เด็กและทารกในครรภ์ เซลล์ในร่างกายมีการแบ่งตัวไวกว่าผู้ใหญ่ จึงเป็นไปได้ว่าการแพร่กระจายของสารกัมมันตรังสีในร่างกายก็อาจจะไวกว่ากระบวนการรักษาและซ่อมแซมดีเอ็นเอนั่นเอง ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าเด็กที่เกิดออกมาอาจจะมีความผิดปกติ หรือเป็


สารกัมมันตรังสีทำให้เกิดการกลายพันธุ์ได้จร


ที่เคยดูหนังประเภทสัตว์หรือสัตว์ที่ได้รับสารกัมมันตรังสีและกลายพันธุ์เป็นสัตว์ประหลาดออกอาละวาด หยุดความคิดนั่นไว้ก่อนค่ะ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายได้รับสารกัมมันตรังสีคือ DNA Mutations หรือการเปลี่ยนแปลงของพันธุกรรม ซึ่งในที่นี้หมายถึง สารกัมมันตรังสีมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสารพันธุกรรมในเซลล์ของมนุษย์ และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ และเมื่อเซลล์มีการเปลี่ยนแปลงหรือผิดปกติก็จะทำให้เกิดโรคต่าง ๆ อย่างโรคมะเร็ง โรคผิวหนัง เป็นต้น


การปนเปื้อนของสารกัมมันตรังสีในระ


นอกจากการรับสารกัมมันตรังสีโดยตรงแล้ว ยังรวมไปถึงสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ และระบบนิเวศด้วย เช่น การปนเปื้อนในน้ำนมวัว เพราะวัวอาจจะกินหญ้าที่มีฝุ่นกัมมันตภาพปลิวมาตก และส่งผ่านไปยังน้ำนมที่นำมาบริโภค อีกส่วนหนึ่งที่กำลังเป็นความกังวลอย่างมากคือ บรรดาสิ่งมีชีวิตและระบบนิเวศในทะเลและมหาสมุทร เพราะเมื่อฝุ่นกัมมันตภาพที่จับตัวกับความชื้นในอากาศตกลงมาพร้อมฝน ก็จะเกิดการปนเปื้อนฝนในแหล่งน้ำจืดที่ใช้เป็นน้ำดื่ม ทะเลหรือมหาสมุทร รวมถึงสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในบริเวณดังกล่าวก็จะได้รับอันตรายไปด้วย ซึ่งจะนำไปอีกหนึ่งความกังวลในเรื่องอาหารทะเลมีอาจการปนเปื้อนของสารกัมมันตรังสีไปด้วย


หน้ากากป้องกันก๊าซพิษ


หน้ากากป้องกันแก๊สพิษ – สวมใส่เพื่อป้องกันการหายใจเอาฝุ่นกัมมันตภาพเข้าสู่รางกายโดยตรงในบริเวณที่อาจมีการแพร่กระจายไปถึง


หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่อาจจะมีการปนเปื้อนได้ง่าย - เช่น นมวัว เนื้อสัตว์ น้ำดื่ม ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบเสียก่อนว่าปลอดภัยกับการบริโภค


ยาโพแทสเซียม ไอโอไดด์ (Potassium Iodide pills) - เป็นยาที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งไทรอยด์ ในกรณีที่อาจจะได้รับฝุ่นกัมมันตภาพและเกิดอาการของโรคมะเร็งไว แต่ไม่สามารถใช้ป้องกันมะเร็งอื่น ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในระยะยาวซึ่งเกิดจากการสะสมสารกัมมันตรังสีเป็นเวลาหลายปี

วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2554

ทำไมโดนแดดถึงตัวดำ
คงทราบกันดีอยู่แล้วว่า ในแสงอาทิตย์นั้น มีรังสีอัลตราไวโอเลตอยู่หากเราได้รับรังสีนี้มากเกินไปจะเป็นอันตรายกับร่างกาย เพราะฉะนั้นธรรมชาติจึงสร้างให้ผิวของเรามี "เม็ดสีเมลานิน" ที่มีสีน้ำตาลอยู่เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตมากจนเกินไปเม็ดสีเมลานินนี้จะเพิ่มขึ้นเมื่อผิวของเราได้รับแสงอาทิตย์มากขึ้น ดังนั้น "ทุกครั้งที่ตากแดดนาน ๆ สีผิวของเราจะค่อย ๆ ดำขึ้น
จากเม็ดสีเมลานินที่เพิ่มมากขึ้น"
ทำไมทารกถึงไม่มีฟัน
นี่คือความรอบคอบของธรรมชาติ ธรรมชาติรู้ว่าหลังคลอดทารกส่วนใหญ่ดื่มนมแม่
ดังนั้น ต้องไม่ให้ฟันโผล่จากเหงือกทันทีด้วยเหตุผล 2 ประการ
ประการแรก เมื่อไม่มีฟัน แค่ใช้เหงือกกัดนมแม่ขณะดูดนม คงไม่เจ็บเหมือนโดนฟันกัด
ประการที่ 2 หากลูกกัดนมแม่เจ็บบ่อย ๆ แม่ก็อาจปฏิเสธไม่ให้ลูกกินนมได้
แต่มีบ้างเหมือนกันที่คลอดออกมาพร้อมฟันอย่างน้อย 1 ซี่ กรณีนี้ประมาณ 1 ในทุก ๆ 2000 ราย
แปลกที่คนดังในโลกหลายคน เช่น จูเลียส ซีซาร์, ฮันนิบัล , ชาร์เลอมาญ, นโปเลียน, มุสโสลินี และฮิตเลอร์ โผล่ออกจากท้องแม่พร้อมฟันที่พัฒนาขึ้นแล้ว 1 ซี่
จึงมีคำถามว่า แม่ของพวกเขาต้องเจ็บปวดทุกครั้งที่ลูกดูดนม
ก่อให้เกิดการตอบสนองความต้องการของลูกในทางลบ
ถึงขั้นปฏิเสธให้นมและ/หรือความรักความอบอุ่นหรือเปล่า ?
ส่งผลให้ลูกชดเชยสิ่งที่ขาดหายไปในวัยเด็กด้วยการแสวงหาอำนาจ เป็นผู้นำโลกในเวลาต่อมา ?

วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2554

เฉาก๊วย



หญ้าเฉาก๊วย




เฉาก๊วยทำมาจาก
หญ้าชนิดหนึ่งในตระกูลเดียวกับมินต์ มีชื่อเรียกว่าอย่างเป็นทางการ ´Mesona chinensis´ ส่วนคนไทยเราจะเรียกหญ้าชนิดนี้ว่า ´หญ้าเฉาก๊วย´ หญ้าเฉาก๊วยสามารถพบได้มากในประเทศจีน ดังนั้น จึงไม่แปลกที่ขนมหวานชนิดนี้จะมีที่มาจากเมืองจีน และมีชื่อเรียกเป็นภาษาจีน
เฉาก๊วย เป็นอาหารหวานชนิดหนึ่ง ซึ่งแพร่หลายในประเทศจีน จนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะที่เป็นทั้งในอาหารหวาน และเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ สำหรับในประเทศไทยนั้น ถือว่าเป็นอาหารหวานระดับพื้นบ้าน เนื่องจากมีการจำหน่ายทั่วไปในชุมชนเมืองทั่วประเทศ


กรรมวิธี
เฉาก๊วย เป็นผลผลิตต่อเนื่องจากการแปรรูปต้นเฉาก๊วย ซึ่งเป็นพืชในวงศ์ Lamiaceae (วงศ์มิ้นท์) วงศ์เดียวกับ สะระแหน่ กะเพรา โหระพา แมงลัก และ ยี่หร่า
วิธีทำเฉาก๊วยอย่างง่ายๆ คือ นำต้นเฉาก๊วยแห้งมาต้ม จนยางไม้และแพคตินละลายออกมาได้น้ำสีน้ำตาลดำ เรียกว่า ชาเฉาก๊วย จากนั้นก็กรองเอาแต่น้ำ แล้วนำไปผสมกับแป้งพืช เพื่อให้เฉาก๊วยคงตัวเป็นเจลลี่ ซึ่งส่วนประกอบนั้น แต่ละเจ้าจะมีสูตรของตนเอง วิธีที่เป็นต้นตำรับโบราณนั้น นิยมผสมกับแป้งท้าวยายม่อม และแป้งมันสำปะหลัง อัตราส่วนตามความเหมาะสม โดยแป้งมันจะทำให้เนื้อเฉาก๊วยนิ่ม (ใส่มากจะเหลว) ส่วนแป้งท้าวยายม่อมจะให้เนื้อเฉาก๊วยคงรูปได้นาน อาจปรับปรุงโดยใส่แป้งข้าวเจ้าเพื่อให้แข็งตัวขึ้น หรือเพิ่มแป้งข้าวเหนียวให้มีความหนุบหนับ หรือใส่ส่วนผสมอื่นๆ ก็ได้ ปัจจุบัน มีผู้ค้าบางรายใส่สีผสมอาหารให้สีดำเข้มบ้าง ใส่วุ้น-เจลาติน เพื่อประหยัดต้นทุนก็มี
การรับประทานเฉาก๊วยแต่เดิมชาวจีนจะกินกับน้ำตาลทรายแดง โดยเอามาคลุกกับน้ำตาลให้เข้ากัน คนไทยนำมาดัดแปลงโดยหั่นเป็นชิ้นๆ ใส่ในน้ำเชื่อมและน้ำแข็ง กินกับข้าวโพด ลูกชิด หรือลูกตาลเชื่อมก็ได้ น้ำนันมันกาก

สรรพคุณ
เช่นเดียวกับพืชอื่นๆในวงศ์มิ้นท์ เฉาก๊วยมีสรรพคุณแก้ร้อนในกระหายน้ำ แต่เนื่องจากมีระดับของน้ำมันหอมระเหย และสารออกฤทธิ์ ในระดับที่ต่ำกว่าตระกูลกระเพราเป็นอย่างมาก จึงส่งผลให้เฉาก๊วยไม่มีฤทธิ์ขับลม หรือบรรเทาปวด เหมือนดังที่มีในพืชตระกูลกระเพรา-โหระพา

วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2554

วิธีรักษาโรคง่ายๆๆ
1. ปวดหัว ให้หาผักคะน้าหรือปวยเล้ง (แมกนีเซียม) กินวันละ ๕ ขีดและกินปลาทูอีกวันละ ๒ ตัว(น้ำมันปลาลดการอักเสบได้) หรือจะชงโกโก้กินหน่อยก็ช่วยได้ค่ะ
2. เป็นหวัด ไอ จามบ่อย ให้หมั่นแปรงลิ้นและกินกระเทียม, หอม, พริกให้มากเข้าไว้
3. แพ้ฝุ่นละออง ไรฝุ่น หาโยเกิร์ตแบบรสธรรมชาติและนมเปรี้ยวไม่หวานจัดมากิน
4. ไขมันในเลือดสูง แทนที่จะหายามากินให้ปวดหัวตับพังก็หากระเทียมสดมากินสักวันละ๑๐ กลีบกับกินหอมหัวใหญ่สดวันละครึ่งหัว5. ไขข้ออักเสบ หาปลาเนื้อมันกินวันละ ๒ ขีด เช่นปลาทู, ปลาสวาย, ปลาแซลม่อน, ปลาซาร์ดีน, ปลาทูน่าหรือแม้แต่ปลากระป๋อง
6. กระเพาะปัสสาวะอักเสบบ่อย ให้กินน้ำกระเจี๊ยบไม่หวานจัดวันละ ๓ มื้อ หรือน้ำแครนเบอรี่ของฝรั่งในปริมาณเท่ากัน ( เปรี้ยวจัดมาก)
7. ท้องอืด แก๊สมาก ให้กินกล้วยหักมุกปิ้งหรือขิงบ่อย ๆ
8. โรคหืดหอบ ไอเรื้อรัง กินต้มยำไก่, กินหัวหอมใหญ่, หอมแดง, ต้นหอมและเอาหอมซุกไว้ใต้หมอน
9. นอนไม่หลับ ตักน้ำผึ้งกินก่อนนอนสักวันละ ๒ ช้อนโต๊ะ ถ้าหาน้ำผึ้งไม่ได้ใช้น้ำตาลทราย ๒ ช้อนโต๊ะแทน ถ้าอยากให้หลับสบายเพิ่มเติมขี้เหล็กและมะรุมเข้าไปหน่อย
10. วัยทอง วูบวาบ อารมณ์ปรวน ให้กินปลาทูน่าให้มากและกินเต้าหู้เหลืองวันละ ๑ แผ่น ถ้ากินเต้าหู้แล้วเบื่อให้สลับกับถั่วลิสงวันละ ๑ กำมือก็ได้
11. ความดันสูง ต้องตัดบุหรี่และอาหารเค็ม ลองหาข้าวโอ๊ตไม่ขัดสีมากินและผักขึ้นฉ่ายสดหรือปั่นก็ได้ จะช่วยคุมความดันให้ดีขึ้น
12. มะเร็งปอดทางเดินหายใจ ให้กินเสาวรส ฝรั่ง ส้ม มะนาว มะขามป้อม มะละกอ มะม่วง ให้มาก เพราะวิตามินซีช่วยสมานหลอดเลือดในปอดได้ดี แต่ต้องระวังวิตามินเอโดยเฉพาะผู่ที่ยังสูบบุหรี่อยู่
13. มะเร็งเต้านม ให้กินบร็อคโคลีหรือคะน้าวันละ ๕ ขีด
14. ความจำไม่ดี ให้กินปลาทูวันละ ๒ ขีด หอยแครงและหอยนางรมซึ่งมีธาตุสังกะสีช่วยสมองได้
15. เวียนหัว คลื่นไส้ง่าย ให้หาอาหารทำจากขิงรับประทาน เช่น ปลาผัดขิง ไก่ผัดขิง, น้ำขิง, ชาขิงหรือเต้าฮวย
16. ท้องผูก ชงน้ำผึ้งดื่มวันละ ๓ ช้อนโต๊ะและให้กินน้ำมะขามต้มติดเนื้อมาก เช้า เย็น
17. โรคกระเพาะอาหาร หากล้วยหักมุกปิ้งกิน, กินกล้วยหรือกินผักกระ หล่ำปลีให้มาก
18. หงุดหงิดง่าย ให้กินอาหารร่าเริง คือ ข้าวเ หนียวดำ ข้าวโพด กลอย กล้วยหอมและปลาทู19. กระดูกพรุน ให้กินงาดำวันละ ๔ ช้อนโต๊ะ (ได้แคลเซียมเท่ากับเม็ดใหญ่) มะม่วงจิ้มกะปิและสับปะรดซึ่งมีธาตุสมานกระดูดอยู่มาก ( แมงกานีส)
20. ท้องเสีย ลำไส้แปรปรวน กินแอปเปิ้ลเขียววันละ ๑-๒ ผล หรือน้ำแอปเปิ้ลเขียวปั่นทั้งกาก จะเป็นการล้างพิษในตัวด้วย
21. เจ็บอก โรคหัวใจ หลอดเลือดตีบ กินปลาทะเล น้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้าเวอร์จิน ผลอโวคาโดเพราะเหล่านี้มีไขมันดีไปช่วยขับตะกรันน้ำมันเก่าออก ถ้าชอบดื่มชาให้หาชาเขียวสดมาชงดื่มเองวันละถ้วย
22. เบาหวาน ถามหา ให้เลี่ยงแป้งกับน้ำตาลและกินผักเขียวจัดอย่างคะน้า บร็อคโคลี ผักโขมให้มาก ถ้าอยากหวานให้กินส้มโอและฝรั่งเพราะมีน้ำตาลอยู่น้อยมาก

วันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2554

7 สิ่งที่ไม่ควรทำหลังการทานอาหาร
1. อย่าสูบบุหรี่ !!
จากผลการทดลองของผู้เชี่ยวชาญพบว่าการสูบบุหรี่หลังอาหาร เทียบได้กับการสูบบุหรี่ยามปกติถึง 10 มวน(ทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งมากขึ้น ซึ่งสูบปกติก็มีโอกาสเป็นอยู่แล้ว)
2. อย่ากินผลไม้ทันทีหลังอาหาร !!
เพราะมันไปพองในท้องคุณให้กินผลไม้ 1 หรือ 2 ชม. ก่อนหรือหลังอาหารก็ได้จะดีกว่า
3. อย่าดื่มน้ำชา !!
เพราะว่าใบชามีความเป็นกรดสูงทำให้โปรตีนในอาหารที่เรากินกระด้างขึ้นทำให้ย่อยยาก
4. อย่าขยายเข็มขัดหลังกินอิ่ม !!
เพราะเป็นเหตุให้ลำไส้ไม่ปกติ
5. อย่าอาบน้ำหลังกินข้าว !!
เพราะการอาบน้ำ จะทำให้โลหิตไหลเวียนไปที่มือ และเท้าทั่วร่างกายเป็นเหตุ
ให้ปริมาณโลหิตไหลเวียนบริเวณท้องก็เพิ่มขึ้นซึ่งส่งผลให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มที่
6. อย่าเดินหลังอาหาร !!
แม้คุณจะเคยได้ยินว่ากินข้าวแล้วให้เดินสัก 100 ก้าวจะทำให้อายุยืนถึง 99 ปี !?!การเดินทันทีทำให้การย่อยเพื่อดูดซึมสารอาหารทำได้ไม่ดีควรรออย่างน้อยสักชั่วโมงค่อยเดินถ้าต้องการ
7. อย่านอนทันที !!
อาหารที่รับประทานเข้าไปไม่สามารถย่อยได้เต็มที่อาจทำให้เกิดลมหรือแก๊สในทางเดินอาหาร...มาถึงบรรทัดนี้ก็อย่าเก็บเมล์นี้ไว้คนเดียว ส่งต่อให้เพื่อนๆเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหลังกินอิ่มกันเด้อ !!...หากคุณเป็นคนที่ใส่ใจในสุขภาพ และรูปร่างความงาม ความหล่อ คลิ้กที่นี่เลยขอต้อนรับสู่คลับของเรา
ด้านมืดของนมวัว
หลายคนเชื่อว่า "ดื่มนมเยอะๆ...ดี" ลองมาอ่านกันดูค่ะ ว่า "ดี"อย่างที่คิดกันรึเปล่าปัจจุบันหลายประเทศเช่น สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย สิงคโปร์ มีการรณรงค์ให้เลิกดื่มนมวัวกันอย่างจริงจัง จากการวิจัยพบว่านมวัว ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ โรคเบาหวาน กระดูกผุ สมาธิสั้น เด็กปวดท้อง เด็กหูอักเสบ ฉี่รดที่นอน เลือดกำเดาไหล ปวดหัว ไซนัสอีกเสบ ฯลฯ นมทำให้ร่างกายสูงใหญ่ก็จริงแต่ไม่ได้เป็นเพราะแคลเซียม สิ่งที่ทำให้ร่างกายสูงใหญ่คือ Growth Hormone ของสัตว์ หรือฮอร์โมนที่เกิดจากการเจริญเติบโตของวัว การให้เด็กดื่มนมวัวก็คือการให้สารอาหารที่มีไว้กระตุ้นสัตว์ที่มีการเจริญเติบโตมากมายแก่เด็ก ผลคือ เด็กมีโครงสร้างที่ผิดปกติไปจากที่ควรจะเป็นและโดยปกติแล้ว ลูกวัวกินนมแค่1ปีแต่ลูกคนกลับรับประทานนมวัวต่อเนื่องกันเป็นสิบปี ฉะนั้น Growth Hormone จะกระตุ้นการเจริญเติบโตของเด็กอย่างต่อเนื่อง ทำให้ร่างกายสูงใหญ่ผิดไปจากเผ่าพันธุ์เดิมของตนและในที่สุดโรคต่างๆที่กล่างข้างต้นจะเกิดขึ้น แต่อันตรายจะเห็นได้ช้า ฉะนั้นคนส่วนใหญ่จะไม่ตระหนักและคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี อันตรายจากนมที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ "ออทิสติก" หรือ "โรคสมาธิสั้น" เด็กจะไม่อยู่เฉยเพราะถูกกระตุ้นให้ตื่นตัวอยู่เสมอจากสารกระตุ้นที่มีอยู่ในนมวัว เพราะลูกวัวนั้นโดยธรรมชาติแล้วเมื่อคลอดออกมา มันจะต้องวิ่งได้เพื่อที่จะวิ่งหนีศัตรูเช่น หมาป่า เสือ สิงโต ฉะนั้นในนมวัวจึงมีสารที่ทำให้ลูกวัวตื่นตัวตลอดเวลา เด็กที่ดื่มนมวัวจึงมีอาการตื่นตัว อยู่เฉยไม่ได้เหมือนอยู่ในป่า การถูกกระตุ้นเกินกว่าเหตุเป็นอันตรายต่อสมองและพัฒนาการของทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ประโยชน์ที่คนส่วนใหญ่คาดว่าจะได้รับจากนมวัวคือ "โปรตีน" และ "แคลเซียม" ทว่าความจริงที่ควรทราบก็คือ โปรตีนจากสัตว์เป็นอันตรายต่อร่างกายมากและแคลเซียมในนมก็ไม่ได้มีมากมายอย่างที่หลายคนเชื่อ นมวัว 3 แก้วให้แคลเซียมเท่ากับหัวปลา 1 หัวเท่านั้น นมวัวมีไว้ให้วัวกิน นมคนก็มีไว้ให้คนกิน คนเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่กินนมข้ามสายพันธุ์และการกินอย่างต่อเนื่องจึงเกิดโรคต่างๆมากมาย ปัจจุบันพบว่าสาเหตุของโรคภูมิแพทั้งในเด็กและผู้ใหญ่คือนมวัว สาเหตุของโรคกระดูกผุ เวียนศีรษะในผู้สูงอายุคือนมวัว แพทย์พบว่าคนไข้ที่มีอาการดังกล่าวถ้ามีประวัติดื่มนมอย่างต่อเนื่องหลังจากให้หยุดดื่มนมแล้วอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สำหรับผู้หญิงนมถั่วเหลืองนอกจากจะได้โปรตีนจากพืชซึ่งเป็นโปรตีนที่ถูกต้องแล้ว ในนมถั่วเหลืองก็ยังมีแคลเซียมและที่สำคัญมีฮอร์โมน "เอสโตรเจน" ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิงซึ่งจะทำให้ผู้หญิงมีผิวพรรณดี โดยเฉพาะผู้หญิงวัยใกล้หมดประจำเดือนซึ่งมีปริมาณเอสโตรเจนที่กำลังลดลงนั้น การดื่มนมถั่วเหลืองจะช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนจนทำให้มีโอกาศที่จะเกิดอาการผิดปกติต่างๆในวัยใกล้หมดประจำเดือนน้อยลง ปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการดื่มนมถั่วเหลืองคือวันละหนึ่งแก้ว และหากจะให้ได้ประโยชน์สูงสุด ควรดื่มในเวลาที่ท้องว่างคือ ก่อนหรือหลังอาหาร 2 ชั่วโมง ควรควรดื่มในเวลาที่ท้องว่างเพราะในนมถั่วเหลืองจะมีไฟเบอร์ชนิดหนึ่งที่แข็งแรงมาก ฉะนั้นถ้ากินพร้อมมื้ออาหารจะทำให้การย่อยและการดูดซึมสารอาหารในมื้อนั้นลดลง อย่างไรก็ตามนมถั่วเหลืองไม่เหมาะที่จะให้ผู้ชายดื่มทุกๆวัน เนื่องจากการเพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิงให้กับผู้ชายในปริมาณมากเกินไป ซึ่งจะส่งผลต่อการทำงานของฮอร์โมนเพศชาย ทำให้ผลิตสเปิร์มน้อยละและมีลูกยาก

วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2554

ประวัติโคอาลา



โคอาลา (Koala) เป็นสัตว์ในกลุ่มสัตว์จำพวกจิงโจ้ (มิใช่หมี) ตัวเมียจะมีกระเป๋าหน้าท้อง สำหรับให้ลูกอ่อนอาศัยอยู่ จากการที่มันมีลักษณะรูปร่าง หน้าตาคล้ายสัตว์ในตระกูลหมี ทำให้คนส่วนมากเรียกมันว่า หมีโคอาลา (Koala bear)


ประวัติ
ใน
พ.ศ. 2341 มีบันทึกครั้งแรกสุดที่พบโคอาล่า พบโดยชาวยุโรปชื่อ จอห์น ไพรซ์ (John Price) ต่อมา
พ.ศ. 2346 ข้อมูลรายละเอียดของโคอาลาเริ่มถูกตีพิมพ์ในซิดนีย์กาเซ็ตต์ (Sydney Gazette) ค.ศ. 1816 นักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส Blainwill ตั้งชื่อทางวิทยาศาสตร์ให้ ชื่อว่า Phascolarctos ซึ่งมาจากภาษากรีก โดยเกิดจากคำ 2 คำ รวมกัน คือคำว่า กระเป๋าหน้าท้องของจิงโจ้ และคำว่า หมี (leather pouch และ bear) ต่อมานักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมัน Goldfuss ได้ตั้งชื่อที่เฉพาะเจาะจงลงไปเป็น cinereus ซึ่งหมายถึง สีขี้เถ้า


ลักษณะขน
โคอาลาที่อยู่ทางตอนใต้มีขนที่หนาเหมือนขนแกะ บริเวณหลังจะมีขนที่หนาและยาวกว่าบริเวณท้อง โคอาลาที่อยู่ทางตอนเหนือมีขนที่สั้นกว่า โคอาลามีขนหนาที่สุดเมื่อเทียบกับสัตว์อื่นๆในตระกูลจิงโจ้ ขนมีสีเทา ถึง น้ำตาลปนเหลือง และมีสีขาวบริเวณคาง หน้าอก และด้านหน้าของแขน-ขา ขนบริเวณหูมีลักษณะเป็นปุย และมีขนสีขาวที่ยาวกว่าบริเวณอื่น


ถิ่นที่อยู่อาศัย
โคอาลาอาศัยอยู่ในป่าที่มีต้นยูคาลิปตัส ปัจจุบันเราพบโคอาลาที่
รัฐควีนส์แลนด์ รัฐนิวเซาท์เวลส์ รัฐวิกตอเรีย และ รัฐเซาท์ออสเตรเลีย

ศัตรู
ศัตรูที่สำคัญคือ
มนุษย์ ซึ่งล่าเอาขนของมัน

อาหาร
โคอาลากินใบ
ยูคาลิปตัสเป็นอาหาร ฟันและระบบย่อยอาหารถูกพัฒนามาให้สามารถกินและย่อยใบยูคาลิปตัสได้ ใบยูคาลิปตัวมีสารอาหารน้อยมาก และยังมีสารที่มีพิษต่อสัตว์ แต่ระบบย่อยอาหารของโคอาลามีการปรับตัว ทำให้สามารถทำลายพิษนั้นได้ โคอาลามีอวัยวะที่ทำหน้าที่ในการย่อยไฟเบอร์ (ส่วนประกอบหลักของใบยูคาลิปตัส) ยาวมากถึง 200 ซ.ม. ที่บริเวณอวัยวะนี้ จะมีแบคทีเรียที่ช่วยในการย่อยไฟเบอร์ให้กลายเป็นสารอาหารที่ดูดซึมได้ อย่างไรก็ตาม โคอาลามีการดูดซึมสารที่ได้จากการย่อยไฟเบอร์ไปใช้เพียงแค่ 25 % ของที่มันกินไปเท่านั้น ส่วนน้ำในใบยูคาลิปตัสส่วนใหญ่ถูกดูดซึม ทำให้โคอาลาไม่ค่อยหาน้ำกินจากแหล่งน้ำ ส่วนใหญ่โคอาลากินใบยูคาลิปตัวประมาณวันละ 2000 ถึง 5000 กรัม โดยปกติมันจะนอนถึง 16-24 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อรักษาพลังงานไว้

การสืบพันธุ์
ฤดูการสืบพันธุ์ของโคอาลาอยู่ในช่วงกันยายน ถึง มีนาคม ตัวเมียเริ่มเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุ 3 ถึง 4 ปี และมักมีลูกปีละตัว แต่ทั้งนี้อาจมีลูกปีเว้นปี หรือ ปีเว้น 2 ปี ก็ได้ ขึ้นกับอายุของตัวเมียและสภาพแวดล้อม อายุขัยเฉลี่ยของโคอาลาตัวเมียประมาณ 12 ปี ทำให้มีลูกได้อย่างมาก 5 -6 ตัว ตลอดอายุขัยของมัน มันใช้เวลาตั้งท้องประมาณ 34-36 วัน ลูกโคอาลาที่เกิดใหม่ มีความยาวเพียง 2 ซ.ม. และมีน้ำหนักไม่ถึง 1 กรัม ผิวหนังสีชมพู ไม่มีขน ยังไม่ลืมตา และยังไม่มีหู ลูกโคอาลาจะอาศัยอยู่ในกระเป๋าหน้าท้องของแม่ และกินนมแม่อยู่นาน 7-8 เดือน หลังจากอายุได้ 6-7 สัปดาห์ ลูกโคอาลามีความยาวของหัวประมาณ 26 ม.ม. และเมื่อเริ่มสัปดาห์ที่ 13 จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 50 กรัม และมีความยาวของหัวเพิ่มขึ้นเป็น 50 ม.ม. เมื่ออายุได้ 22 สัปดาห์ ตาของลูกโคอาลาจะเริ่มเปิด และมันจะเริ่มโผล่หัวออกมาจากกระเป๋าหน้าท้องของแม่ พออายุได้ 24 สัปดาห์ จะมีขนเต็มตัว และฟันซีกแรกเริ่มงอก สัปดาห์ที่ 30 ลูกโคอาล่าจะมีน้ำหนักประมาณ 0.5 ก.ก. และมีขนาดของหัวยาว 70 ม.ม. ตอนนี้มันเริ่มใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ข้างนอกกระเป๋าหน้าท้องของแม่ สัปดาห์ที่ 36 ลูกโคอาลามีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 1 ก.ก. และไม่เข้าไปอยู่ในกระเป๋าหน้าท้องแม่อีกแล้ว ส่วนมากมันมักจะเกาะอยู่ที่หลังของแม่ แต่ในช่วงอากาศหนาว หรืออากาศชื้น มันก็จะกลับเข้าไปอยู่ในกระเป๋าหน้าท้องของแม่อีก สัปดาห์ที่ 37 ลูกโคอาลาเริ่มออกห่างจากแม่เพื่อเดินเที่ยวเล่น แต่ยังอยู่ในระยะใกล้ๆ สัปดาห์ที่ 44 ลูกโคอาลากล้าเดินออกมาไกลมากขึ้น แต่ยังไปเกินระยะทาง 1 เมตร ที่ห่างจากแม่ สัปดาห์ที่ 48 ลูกโคอาลายิ่งมีความอยากผจญภัย หรืออยากรู้อยากเห็นยิ่งขึ้น และไม่ส่งเสียงร้องอีกแล้วเมื่อแม่ของมันเดินห่างออกไป มันจะอยู่กับแม่ของมันถึงอายุประมาณ 1 ปี ซึ่งช่วงนี้มันจะมีน้ำหนัก 2 ก.ก. กว่าเล็กน้อย


อายุขัย
ขึ้นกับปัจจัยรอบข้าง โดยเฉลี่ยมีอายุประมาณ 113-200 ปี เนื่องจากยีนส์


การติดต่อสื่อสาร
โคอาลาใช้เสียงในการติดต่อสื่อสาร ซึ่งเสียงที่ใช้มีหลายลักษณะ โดยทั่วไปตัวผู้มักส่งเสียงร้องดังเพื่อประกาศหรือบอกบริเวณที่ตนอาศัยอยู่ ในขณะที่ตัวเมียจะไม่ค่อยส่งเสียงร้อง ตัวเมียจะส่งเสียงร้องดังเมื่อมีอาการกร้าวร้าว สำหรับโคอาลาตัวเมียที่มีลูกอ่อน จะใช้เสียงที่มีความอ่อนโยนกับลูกของตนเอง เมื่อเกิดความกลัวขึ้น โคอาล่าทั้งตัวผู้และตัวเมียจะใช้ส่งเสียงคล้ายเสียงเด็กร้องไห้ นอกจากนี้ โคอาลายังใช้กลิ่นของตนเองทำเครื่องหมายตามต้นไม้ที่ต่างๆ ในการติดต่อถึงกันอีกด้วย

วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2554

เตือนภัยวัยรุ่น...

เตือนภัย : สถานที่ไหนที่ไม่ควรอยู่คนเดียว

>>> ขึ้นแท็กซี่คนเดียว :: แท็กซี่เดี๋ยวนี้มีทั้งดีและร้านปะปนกัน ถ้าน้องๆ เห็นวี่แววแล้วว่าไม่น่าไว้วางใจ ให้น้องๆ ระวังตัวไว้เลย วิธีของคนขับที่ไม่ประสงค์ดีคือการพยายามปล่อยสารหรือยาบางอย่างซึ่งเค้าจะทาไว้ที่มือให้แอร์เป่ามาด้านหลัง ซึ่งจะทำให้ผู้โดยสารเกิดการมึนงงและสลบไปได้

>>> ขึ้นลิฟท์ :: ในลิฟท์ที่อำนวยความสะดวกในการขึ้นลงอาคารสูง แม้เพียงชั่วพริบตาเดียวน้องๆ ก็ไม่ควรประมาทนะคะ เพราะผู้โดยสารร่วมลิฟท์ในยามวิกาลอาจจะเป็นผู้ร้ายที่ทำมิดีมิร้ายเราก็ได้ ยิ่งเป็นลิฟ์ที่อยู่ในอาคารสูงมากๆ ก็จะเป็นการเปิดโอกาสทำให้ผู้ร้ายมีเวลาปฏิบัติการมากขึ้น

>>> ข้างถนน :: ส่วนใหญ่เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นกับผู้หญิง เพราะด้วยนิสัยใจดีเห็นใครเดือดร้อนก็อยากจะให้ความช่วยเหลือ มิจฉาชีพจึงใช้ความใจดีนี้ล่อลวงให้เหยื่อมาติดกับ

>>> ตามห้างสรรพสินค้า :: คนร้ายมักจะสรรหาวิธีใช้กับเหยื่อตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการแอบเอายามาใส่ในอาหารขณะที่เหยื่อเดินไปซื้อน้ำ บ้างก็เอานาแต้มไว้ที่หลอดแล้วเอาหลอดไปวางไว้ที่เดิมตรงที่กดหลอด เมื่อคนมาหยิบหลอดไปใช้ก็จะได้หลอดที่มียาไป พอคนร้ายเห็นว่าเหยื่อเริ่มมีอาการเมาก็จะเข้ามาให้ความช่วยเหลือ และจากนั้นก็จะพาไปปลดทรัพย์หรือข่มขืน
หรือแม้กระทั่งขณะที่ใช้รถเข็นช้อปปิ้ง เมื่อเหยื่อเผลอปล่อยรถเข็นไว้ คนร้ายก็จะนำยามาป้ายตรงราวจับรถเข็น และเมื่อเหยื่อมาจับที่ราวนั้นก็จะทำให้เกิดอาการชา มึนงง และเป็นลม แล้วนั่นก็จะเป็นโอกาสที่คนร้ายจะลงมือกับเหยื่อ

>>> แม้แต่ในที่พักของเราเอง :: ไม่หน้าเชื่อว่าบ้านหรือหอพักจะเป็นอีกสถานที่เสี่ยงต่อการเกิดเหตุร้ายได้ เพราะหลายคนคิดว่าบ้านน่าจะเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยมากที่สุด แต่เมื่อใสที่เหยื่อพักอยู่คนเดียวตามลำพัง คนร้ายอาจสบโอกาสเข้ามาชิงทรัพย์ หรือทำร้ายร่างกายได้
วิธีการป้องกันที่สุดคือ มีความจำเป็นต้องอาศัยหอพัก ควรเลือกหอพักที่อยู่ในเขตชุมชนและมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี ควรตรวจสอบกลอน ประตู หน้าต่างให้ดี และที่สำคัญควรติดตั้งกลอนประตูแบบมีโซ่คล้อง เพื่อไม่ให้คนร้ายบุกเข้ามาทำร้ายในเราถึงในห้องได้ระหว่างที่คุยกัน

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง

จากการอบรม เรื่องเกี่ยวกับการทำ GMP ของโรงงานผลิตอาหารต่างๆ วิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้าน Clean food มีเกร็ดต่างๆมาเล่าให้ฟัง เลยสรุปมาเล่าสู่กันฟัง พอเป็นสังเขป จริงๆ มีมากกว่านี้
1. พวกขนมปังปี๊บ กระบวนการผลิตบางแห่งไม่ดี ไส้สับปะรด เป็นมันแกวหรือพืชอื่น ๆ กวนใส่น้ำตาลและใส่กลิ่นกับแกนสัปปะรดไปนิดหน่อย
2. เชอรี่บนขนมเค้กราคาถูกตามตลาดสด คือ มะเขือเปาะฟอกสีจนใสเป็นวุ้น แล้วย้อมสีแดง (ผงฟอกสีทำให้เป็นโรคไต) พวกที่ใช้สารฟอกสีอื่นๆ เช่น มะม่วงกวน (แผ่นใส ๆ) ยอดมะพร้าวขาว ๆ
3. ซูชิ ในตลาดนัดที่อากาศร้อน แบคทีเรียจะเจริญเติบโตเร็ว ชูชิต้องเสริฟเย็นเท่านั้น
4. เอแคลร์กับลูกชุบ หรือขนมอะไรที่ต้องมีการปั้น ๆ ถู ๆ ต้องพึงระวังสุขอนามัย ควรซื้อกับร้านค้าที่รู้จักหรือมีชื่อเสียงเท่านั้น
5. ลูกอมสีอื่น ๆ เช่น ฟ้า เขียว ม่วง เป็นสีที่ขาย ไม่ด ีไม่ควรซื้อเพราะใช้สีที่เก็บไว้นาน ทานลูกอมสีแดง ขาว ได้
6. ปลายหน้าร้อนต่อต้นหน้าฝน ไม่ควรกินอาหารทะเล เพราะฝนเริ่มตกจะชะฝุ่นบนพื้นดินลงทะเลและสัตว์ทะเลจะกินเข้าไป จะมีแต่ไวรัส แบคทีเรีย โอกาสท้องเสียมีสูง
7. พวกอาหาร Pack สำเร็จมา wave ที่บ้าน wave ได้ครั้งเดียวเท่านั้นไม่ควรล้าง Package มาใส่ wave ซ้ำเพราะสารพิษจะออกมา
8. โยเกริ์ตต่างๆ จะมีแป้งผสมอยู่ประมาณ 20% ควรทานโยเกริ์ต Home made ถ้วยเล็ก ๆ (ลองหยดไอโอดีนพิสูจน์ดูก็ได้ จะพบว่าโยเกริ์ตเป็นสีน้ำเงิน)
9. น้ำปลาเปิดขวดแล้ว ควรมีอายุการใช้ไม่เกิน 1 เดือน
10. ระวังเชื้อราตามคอขวดที่เปิดแล้วต่าง
11. กระดาษหนังสือพิมพ์ อย่าเอามาห่อผักแช่ตู้เย็น (มีสารพิษ จากหมึก)
12. อาหารกระป๋อง ถ้าใช้ไม่หมดควรเอาออกจากกระป๋องใส่ภาชนะอื่นแช่ตู้เย็น
13. ฟองน้ำล้างจานที่มีน้ำยาผสมน้ำทิ้งไว้ (เป็นน้ำๆ) ทิ้งไว้ได้ไม่เกิน 1 ชั่วโมง แบคทีเรียจะขึ้น ควรเททิ้งไป
14. อาหารหมักดอง ต้องระวังมีไวรัสที่ทำลายกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ผักกาดดองตามท้องตลาดในโรงงานบางแห่งจะมีกระบวนการผลิตที่ไม่สะอาด (ใช้คนลงไปในอ่างดอง เราไม่แน่ใจว่าคนนั้นๆ มีโรคหรือไม่) ควรใช้ผักกาดดองกระป๋องที่เชื่อถือได้
15. เบียร์สด จะไม่ถูกกรองยีสต์ที่ตายแล้วออก เราจะกินศพยีสต์เข้าไปด้วย (เบียร์ขวดจะถูกกรองไปแล้ว) แต่กินได้ ไม่เป็นไร

เตือนภัยวัยรุ่นติดเน็ตอันตราย..

อย่างที่เราทราบกันดีว่า “อินเตอร์เน็ต” นั้นเหมือนดาบสองคม สามารถให้ทั้งคุณอนันต์และโทษมหันต์แก่ผู้ที่ใช้ได้ ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้นั้นจะมีวิจารณญาณในการใช้ ซึ่งแน่นอนค่ะว่าในช่วงของวัยรุ่นแล้วการใช้อินเตอร์เน็ตนั้นเป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสียงที่จะสร้างปัญหาให้กับวัยรุ่นได้เมื่อเร็วๆ นี้ มีผลสำรวจจากประเทศออสเตรเลียออกมาว่า พ่อแม่ชาวออสเตรเลียนกำลังมีความเป็นห่วงลูกหลาน หลังจากมีข่าวเด็กวัยรุ่น "ฆ่าตัวตาย" เพราะถูกกลั่นแกล้ง รังแก ผ่านทางอินเตอร์เน็ต หรือโทรศัพท์มือถือ
ข่าวเด็กหญิงชาวเมืองเมลเบิร์นวัย 14 ฆ่าตัวตาย และแม่ของเด็กหญิงกล่าวโทษว่าเป็นเพราะลูกสาวถูกคุกคามทางอินเตอร์เน็ต โดยก่อนจะเสียชีวิตลูกสาวได้เล่าให้เธอฟังว่ามี "ข้อความ" ที่เขียนถึงตัวเธอในทางเสียหาย และได้ไปโผล่ในอินเตอร์เน็ต ทำให้เธอเครียดมาก และอยากฆ่าตัวตาย กลายเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ การข่มเหง รังแกผ่านโลกไซเบอร์ กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา และทำให้มีการสำรวจตามโรงเรียนต่างๆ ซึ่งจากผลสำรวจในเด็ก 200,000 คน พบว่ามีอยู่ 10% ที่บอกว่าเคยโดนรังแก รังควานแบบนี้มาแล้ว
สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าวมีนักจิตวิทยาหลายคนได้ออกมาให้ความเห็นว่าเด็กๆ ผู้ตกเป็นเหยื่อมีแนวโน้มที่จะมีความเครียด วิตกกังวล และสูญเสียความเชื่อมั่นในตัวเอง อันนำไปสู่ความคิดอยากฆ่าตัวตาย
ส่วนเด็กและวัยรุ่นที่ตกเป็นเหยื่อเล่าว่า การกลั่นแกล้ง รวมทั้งข่าวลือต่าง ๆ เกี่ยวกับพวกเขา มันทำให้เขารู้สึกว่าถูกทำลายชื่อเสียง รู้สึกว่าอาจมีคนไม่ชอบพวกเขา โดยมันทำลายชีวิตเขาทั้งทางสังคม อารมณ์ จิตใจ
นอกจากนี้ในผลสำรวจยังกล่าวว่า หนึ่งในปัญหาใหญ่ที่พบจากการสำรวจครั้งนี้ก็คือ เด็กๆ รู้สึกว่าผู้ใหญ่ไม่ได้มองปัญหาภัยคุกคามทางโลกอินเตอร์เน็ตอย่างซีเรียสจริงจัง


เตือนภัยวัยรุ่นซกมก นิยมขาเดฟ เสี่ยงเกิดเชื้อรา

ดูเหมือนแฟชั่นการใส่เสื้อผ้าไซล์เล็ก หรือกางเกงยีนขาแคบ หรือ ขาเดฟ จะยังเป็นเทรนด์แฟชั่นที่ครองใจวันรุ่นไทยไปอีกนาน ใครขาเล็กขาใหญ่ ตัวอ้วนตัวผอมก็ต้องไปหาวิธี ลับ ลวง พลางเอาเอง แต่ที่แน่ ๆ นอกจากแฟชั่นดังกล่าวจะให้ความสวยงามกิ๊ฟเก๋ในมุมมองของใครหลายคนก็ตาม แต่เทรนด์แฟชั่นนี้ก็สร้างความวิตกให้คณะแพทย์ผิวหนังไม่น้อยจากอาการรัดติ๋วของเสื้อผ้าวัยรุ่นไทยในปัจจุบัน
ล่าสุด นพ. จิโรจ สินธวานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กล่าวเตือนวัยรุ่นที่นิยมสวมกางเกงขาเดฟว่า อาจเสี่ยงต่อ การเกิดปัญหาเชื้อรา เนื่องจากเนื้อผ้าที่รัดแน่นแนบเนื้อตามขา จนไม่มีที่ระบายอากาศอาจทำให้เกิดการเสียดสี เป็นรอยถลอกตามผิวหนัง และเมื่ออยู่ในสภาพที่อับชื้นซึ่งอาจเกิดจากสภาพอากาศ เช่น ฝน หรือการรักษาความสะอาดไม่ถูกวิธี ใส่กางเกงซ้ำหลายวัน ทำให้ใยผ้าเกิดการสะสมของเหงื่อไคล จนเกิดเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อราในร่มผ้าได้ จึงอยากให้วัยรุ่นพิจารณาการใส่เสื้อผ้าให้เหมาะสมกับร่างกาย และรูปร่าง ไม่ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่นร่างกายจนเกินไป
นพ.จิโรจ ยังกล่าวอีกว่า ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการแพ้สารฟอกสีในเนื้อผ้า และแพ้น้ำยาอัดกลีบทำให้เกิดผื่นคัน และเกิดปัญหาเชื้อราเช่นเดียวกัน ทั้งนี้โรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา ถือเป็นกลุ่มโรคอันดับที่ 4 ที่คนส่วนใหญ่นิยมเป็น รองจากปัญหาผื่นแพ้ ที่มาเป็นอันดับ 1 และอันดับ 2 โรคสิว และอันดับ 3 โรคผิวหนังอักเสบ สำหรับการรักษาไม่ควรซื้อยามารับประทานหรือทานยาเอง เนื่องจากอาจทำให้แผลลุกลาม และยากแก่การวินิจฉัยโรค และรักษาไม่หายขาด ควรพบแพทย์ซึ่งจะจัดยารับประทานและยาทา ใช้เวลาอย่างน้อย 1เดือนในการรักษาเพื่อมิให้กลับมาเป็นซ้ำอีก
สำหรับลักษณะของโรคเชื้อราในร่มผ้าจะมีลักษณะคล้ายกลากเกลื้อน ขึ้นบริเวณรอบจุดที่ผิวหนังมีการเสียดสีกับเนื้อผ้าบ่อย หรือาจเป็นลักษณะรอยถลอกขึ้นขุย และผื่นตามข้อพับขา

วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2554

" อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต... ของคนเรา "

บางคนอาจบอกว่า.... งานคือชีวิต ถ้าคนเราปราศจากงาน นั่นก็คือชีวิตว่างเปล่า..
บางคนอาจบอกว่า... ครอบครัวสิต้องมาก่อน ถ้าไม่มีครอบครัวแล้วจะมีเราทุกวันนี้หรือ..
บางคนอาจบอกว่า... ความรัก เพราะความรักช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไป ให้ชีวิตมีชีวา..
บางคนอาจบอกว่า... เงินตราเท่านั้น ที่สามารถบันดาลให้ชีวิตมีความสุข สนุก และสบาย...
และอีกหลายคนอาจบอกว่า... ทุกสิ่งล้วนมีความสำคัญด้วยกันทั้งนั้น ยิ่งถ้ามีครบหมดทุกอย่างก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่
แต่ต้องไม่ลืมว่า... แม้จะมีครบทุกสิ่งก็ใช่ว่าจะรักษาไว้ได้ตลอดไป ถูกต้อง... ทุกสิ่งล้วนมีความสำคัญ อยู่ที่ว่า..แต่ละคนจะให้ความสำคัญกับอะไรมากกว่ากันเท่านั้น
คงไม่มีใครปฏิเสธว่า.. เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่ต้องเลือก.. ระหว่างสิ่งหนึ่งกับอีกสิ่งหนึ่ง ซึ่งไม่สามารถเลือกพร้อม ๆ กันได้ทั้งสองสิ่ง แน่นอน.. คุณก็ต้องเลือกสิ่งที่สำคัญกว่า.....เสมอ
แล้วคุณล่ะ... อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต... ของคุณคุณรู้แล้วรึยัง ??เพราะบางคนใช้เวลาทั้งชีวิต ก็ยังไม่รู้เลยว่าอะไรที่สำคัญ ..
จนกระทั่งได้สูญเสียสิ่งนั้นไป

วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2554

น้ำตกไนแอการา...

น้ำตกไนแอการา

เมื่อพูดถึงน้ำตกที่โรแมนติกที่สุดหลายคนจะนึกถึงน้ำตกไนแอการา คู่รักหลายคู่เลือกที่ไปฮันนีมูนกันที่นี่ น้ำตกไนแอการาเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ตรงพรมแดนระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศแคนาดา สาเหตุที่มีขนาดใหญ่เพราะจริง ๆ แล้วน้ำตกไนแอการาเกิดจากน้ำในทะเลสาบตกลงสู่อีกทะเลสาบหนึ่ง
น้ำตกไนแอการา (อังกฤษ: Niagara Falls ; ฝรั่งเศส: les Chutes du Niagara) เป็นน้ำตกขนาดใหญ่หลายแห่งประกอบกัน ตั้งอยู่บนแม่น้ำไนแอการาทางตะวันออกของทวีปอเมริกาเหนือ บนพรมแดนระหว่างประเทศแคนาดากับสหรัฐอเมริกา น้ำตกไนแอการาประกอบด้วยน้ำตกสามแห่งที่แยกออกจากกัน คือ น้ำตกเกือกม้า (Horseshoe Falls บางครั้งก็เรียก น้ำตกแคนาดา) สูง 158 ฟุต, น้ำตกอเมริกาสูง 167 ฟุต, และน้ำตกขนาดเล็กกว่าที่อยู่ติดกัน คือน้ำตก Bridal Veil. แม้น้ำตกไนแอการาจะไม่สูงอย่างโดดเด่น แต่ก็กว้างมากน้ำตกไนแองการามีจุดชมวิวที่สวยงามและเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของทั้ง 2 ประเทศมานานกว่าศตวรรษแม่น้ำไนแอการาไหลมาจากทะเลสาบอีรีไหลผ่านน้ำตกไนแอการาลงสู่ทะเลสาบออนตาริโอ เมืองสองฝั่งของน้ำตกในสองประเทศนั้นเป็นเมืองแฝด โดยในฝั่งแคนาดาคือ ไนแอการาฟอลส์ ออนตาริโอ ส่วนในฝั่งสหรัฐอเมริกาคือ ไนแอการาฟอลส์ มลรัฐนิวยอร์ก

น้ำตกไนแอการามีอาณาเขตติดต่อเชื่อมมลรัฐนิวยอร์ก ในประเทศสหรัฐอเมริกา กับมณฑลออนทาริโอ ประเทศแคนาดา แถวนั้นเป็นถิ่นที่มีทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอยู่รวมกัน 5 แห่งที่มีชื่อเรียกรวมกันว่า Great Lakes คือทะเลสาบฮิวรอน (Huron) ออนทาริโอ (Ontario) มิชิแกน (Michigan) อีรี (Erie) และ ซุพีเรียร์ (Superior) (สมัยเด็ก ๆ อาจารย์ที่สอนสังคมศึกษาจะให้ท่องว่า HOMES ซึ่งเป็นอักษรนำของชื่อทะเลสาบทั้งห้า) น้ำตกไนแอการาคือรอยต่อระหว่างทะเลสาบอีรีกับทะเลสาบออนทาริโอ เนื่องจากระดับน้ำในทะเลสาบทั้งสองมีความแตกต่างกัน ตรงช่วงรอยต่อจึงเกิดเป็นน้ำตกที่มีปริมาณน้ำมากมายจนเกิดเป็นน้ำตกไนแอการา
ตำแหน่งที่เป็นดาวในรูปคือน้ำตกไนแอการา

น้ำตกไนแอการาประกอบด้วยสองน้ำตกใหญ่ คือน้ำตกอเมริกัน (American Fall) และน้ำตกแคนาดา (Canadian Fall) หรือน้ำตกเกือกม้า (Horseshoe Fall) น้ำตกทั้งสองถูกคั่นด้วยเกาะกลางชื่อว่า Goat Island น้ำตกอเมริกันอยู่ในเขตประเทศสหรัฐอเมริกา มีความกว้างน้อยกว่า สูงน้อยกว่า กว้างเพียง 320 เมตร
ส่วนน้ำตกแคนาดาเป็นน้ำตกรูปเกือกม้า 2 ใน 3 ของน้ำตกอยู่ในเขตประเทศแคนาดา กว้างกว่า สูงกว่า และก็สวยกว่า กว้างถึง 790 เมตร
จริง ๆ แล้วน้ำที่ตกลงมาเป็นน้ำตกไนแอการา จะตกจากฝั่งอเมริกาไปยังฝั่งแคนาดา ฉะนั้นถ้าอยู่ฝั่งอเมริกาจะเห็นแต่ด้านหลังและด้านข้างของน้ำตก ถ้าอยากเห็นวิวเต็ม ๆ ต้องไปดูจากฝั่งแคนาดาย้อนกลับมา แต่สำหรับคนไทยต้องมีวีซ่าแคนาดาด้วยถึงจะข้ามไปชมความงามฝั่งโน้นได้ แต่ฝั่งอเมริกาก็พยายามหาวิธีในการชมความงามของน้ำตกโดยการสร้างหอคอยชะโงกออกไปจากฝั่ง หรือล่องเรือไปตามลำน้ำเพื่อไปใกล้น้ำตกทั้งสอง ในช่วงเดือนเมษายนจนถึงเดือนตุลาคมที่ยังไม่หนาวเกินไป จะมีบริการเรือเฟอร์รีพาผู้โดยสารเข้าไปใกล้ ๆ น้ำตกใกล้ขนาดชุ่มฉ่ำเปียกปอนกันถ้วนทั่วจากละอองน้ำ เรียกว่าทัวร์ Maid of the Mist ซึ่งชื่อนี้มีตำนาน เรือจะหยุดวิ่งในช่วงหน้าหนาวเพราะสภาพจะเป็นแบบนี้ Maid of the Mist แปลตามตัวอักษรก็คือหญิงสาวแห่งสายหมอก ตามตำนานเล่าว่าสมัยหนึ่งชาวอินเดียนแดงที่อาศัยแถบนี้ล้มตายลงเป็นอันมากด้วยโรคระบาด พวกเขาเชื่อว่าเป็นเพราะเทพเจ้าแห่งสายน้ำไม่โปรดจึงลงโทษด้วยการคร่าชีวิตผู้คน จึงส่งลูกสาวของหัวหน้าเผ่าลงเรือให้ไหลลงไปตามน้ำตกเพื่อสังเวยแด่เทพเจ้า
เทพเจ้าโปรดปรานเธอมาก เธอตกลงยอมเป็นภรรยาโดยมีเงื่อนไขว่าเทพเจ้าต้องช่วยชีวิตผู้คนในเผ่าเธอ เทพเจ้าจึงเปิดเผยว่าที่ผู้คนล้มตายเป็นเพราะงูยักษ์ที่อาศัยอยู่ในลำน้ำคายพิษลงในน้ำดื่ม เธอจึงปรากฏกายขึ้นในม่านน้ำ (mist) เพื่อแจ้งข่าวแก่ชาวบ้าน ตกกลางคืนชาวบ้านจึงรุมจับงูและฆ่า่ทิ้ง ศพของงูลอยไปติดแก่งเหนือน้ำตก จึงขวางทางน้ำเป็นรูปโค้งเหมือนเกือกม้าอย่างที่เห็น ช่วงค่ำของทุกคืน น้ำตกจะประดับไฟแสงสีสวยงามเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว
จริง ๆ ข้าง ๆ น้ำตกอเมริกันยังมีน้ำตกเล็ก ๆ อีกแห่งชื่อว่า Bridal Veil Fall แปลว่าน้ำตกผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว แยกออกจากน้ำตกอเมริกันด้วยเกาะเล็ก ๆ ตรงกลาง น้ำตกที่มีลักษณะแบบนี้มักจะมีชื่อเดียวกันนี้หมด
คาดการณ์ว่ามีนักท่องเที่ยวมาชมน้ำตกไนแอการาถึง 20 ล้านคนต่อปี ซึ่งทำรายได้มหาศาลให้กับทั้งสองประเทศ คนมักเข้าใจผิดว่าน้ำตกไนแอการาเป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่จริง ๆ แล้วมีน้ำตกอีกมากมายที่สูงกว่าน้ำตกไนแอการ่า ส่วนน้ำตกที่ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกคือน้ำตกวิกทอเรีย (Victoria Falls) ในทวีปแอฟริกา อยู่ตรงชายแดนของสองประเทศเช่นเดียวกันคือซิมบับเวกับแซมเบีย
น้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกแห่งคือน้ำตกอิกวาสุ (Iquazu Falls) ระหว่างประเทศบราซิลกับอาร์เจนตินา มีน้ำตกใหญ่น้อยรวมกันถึง 270 น้ำตก เรียกว่าน้ำตกไนแอการาเล็กไปถนัดเลยทีเดียว


ส่วนน้ำตกที่สูงที่สุดในโลกคือน้ำตกแองเจล (Angel Falls) ในประเทศเวเนซุเอลา สูงถึง 979 เมตร

วันอังคารที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2554

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มีประโยชน์หรือโทษต่อร่างกายอย่างไร



ชาวเอเชียนั้นว่ากันว่าบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกันเป็นบ้าเป็นหลัง เหตุผลง่ายๆก็คือ ราคาถูก ไม่ต้องใช้เวลาเตรียมมาก และอิ่มท้อง เด็กๆส่วนใหญ่ก็ชอบรับประทาน อุตสาหกรรมบะหมี่สำเร็จรูปจึงเติบโตอย่างไม่น่าเชื่อ เห็นได้จากในท้องตลาดมีหลากหลายยี่ห้อจนนับไม่ถ้วน และด้วยรูปลักษณ์ต่างๆกัน จุดขายต่างๆกันไป นับตั้งแต่ขายเสียงหมูสับ ไปจนถึงยี่ห้อเอาเร็วเข้าว่าจะมัวช้าสับหมูอยู่ไย ถ้าถามว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปดีหรือไม่ดีต่อสุขภาพ หลายคนคงมีคำตอบอยู่แล้วในใจ เรียกว่ารู้ดีอยู่ว่าไม่ควรรับประทานทุกวันเป็นแน่ แต่บางครั้งก็อดใจไม่ไหว บางทีก็ขี้เกียจทำอาหารหรือขี้เกียจออกมาซื้อหาอาหารรับประทาน ที่แน่ๆก็คือ หนุ่มสาวในวัยศึกษาโดยเฉพาะพวกที่อยู่หอพัก ดูหนังสือดึกๆก็ต้มรับประทานคลายหิวไปได้ หากเราลองมาดูส่วนประกอบในฉลาก จะพบว่าส่วนประกอบหลักเลยก็คือแป้ง ซึ่งให้สารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต แหล่งพลังงานหลักของเรา ถ้าไม่มีคาร์โบไฮเดรตร่างกายต้องดึงไขมันสะสมมาใช้ พอไขมันหมดก็ไปเอาโปรตีนมาจากกล้ามเนื้อ ทำให้ร่างกายอ่อนแอลง ทว่าอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงอย่างบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็กำลังถูกเพ่งเล็งอยู่ว่าจะมีผลดีต่อร่างกายหรือไม่ วารสารทางการแพทย์ Journal of the American Medical Association ได้ตีพิมพ์บทความที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างอาหารที่มีแป้งเป็นองค์ประกอบสูงกับโรคเบาหวาน พบว่า ขนมปังที่ทำจากแป้งขัดขาว มันฝรั่งบด และบะหมี่สำเร็จรูปนั้นมี glycemic indexes ซึ่งเป็นตัวชี้วัดค่าความสามารถในการทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น แต่ผู้ศึกษาก็แนะนำว่า ไม่ได้ให้ผู้บริโภคตัดอาหารแป้งทั้งหมดออกไปจากสำรับ แต่ให้หันมารับประทานแป้งชนิดที่ไม่ขัดขาวแทน เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท เป็นต้น และควรรับประทานพืชผักใบเขียวให้มากขึ้น นอกจากแป้งแล้ว ส่วนประกอบในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่มีมากรองลงมาก็คือ ไขมัน หลายท่านคงแปลกใจเพราะดูไม่ออกว่าไขมันมาจากไหน แต่ศาสตราจารย์ ฮาโรลด์ คอร์ค ผู้เชี่ยวชาญทางข้าวสาลีแห่งมหาวิทยาลัยฮ่องกง กล่าวว่า นอกจากไขมันในรูปน้ำมันที่อยู่ในซองสำหรับปรุงรสแล้ว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปส่วนใหญ่ใช้วิธีทอดเส้นในน้ำมัน มีพียง3-4% เท่านั้นที่อบแห้งโดยใช้ลมร้อน(air-drying) ซึ่งไม่มีการระบุไว้ในฉลากเพราะไม่ใช่จุดขายของสินค้า บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปส่วนใหญ่จึงมีน้ำมันอยู่ประมาณ 18 % แม้ว่าไขมันจะเป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการ ทว่าผู้ผลิตมักใช้น้ำมันปาล์มซึ่งหาง่ายในแถบเอเชีย ราคาถูกและทำให้บะหมี่มีรสชาติดี แต่ไขมันจากน้ำมันปาล์มซึ่งเป็นไขมันอิ่มตัวสูงก็ไม่เหมาะกับคนที่เเป็นโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ นอกจากนั้น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยังมีเกลือโปตัสเซียมคาร์บอเนตซึ่งทำให้เส้นบะหมี่มีสีเหลืองอ่อนๆน่ารับประทาน ทำให้เส้นเหนียวนุ่มไม่เละง่ายเมื่อถูกน้ำร้อน แต่ไม่มีคุณค่าทางอาหารและถือว่าไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ส่วนเครื่องปรุงก็มีเกลือเป็นส่วนใหญ่ ถ้าผู้บริโภคที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงก็ไม่ควรรับประทาน นอกจากนั้นก็มีสีปรุงแต่งอาหาร ผงชูรส ซึ่งบางคนอาจแพ้ได้ บะหมี่สำเร็จรูปที่ไม่มีผงชูรสก็มีเหมือนกันแต่ราคาแพงกว่าปกติประมาณ 25% ดร.เอ็ดมอนด์ ลี นักโภชนาการชาวฮ่องกงเตือนว่า แม้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปบางชนิดจะมีผักเป็นส่วนผสมอยู่บ้าง แต่ก็อย่าหวังพึ่งว่าจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เพราะจุดประสงค์ของผู้ผลิตคือแต่งหน้าให้ดูดีน่ารับประทานเฉยๆ แต่เขาก็เข้าใจสำหรับคนที่ชอบรับประทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและไม่เห็นว่าเป็นปัญหาใหญ่โตอะไร แม้เด็กๆจะชอบรับประทาน แต่ผู้ใหญ่ก็คอยดูแลได้โดยการเติมไข่ใส่ผัก ให้บะหมี่ถ้วยนั้นมีโปรตีนและวิตามินเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี การรับประทานอาหารให้หลากหลายเป็นหนทางหนึ่งที่ช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารเต็มที่ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไม่เป็นอันตรายต่อใคร แต่ก็ควรรับประทานนานๆครั้งก็พอ ความจริงคงไม่มีใครตั้งหน้าตั้งตารับประทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอย่างเดียวหากมีทางเลือกอื่น ยกเว้นคนติดเกาะหรือหลงป่าที่อยู่ในภาวะจำยอมเท่านั้นกระมัง

น้ำส้มสายชูแท้…น้ำส้มสายชูปลอม…ต่างกันอย่างไร

ภาพผงชูรสแท้


ผงชูรสเทียม

น้ำส้มสายชู มีส่วนประกอบสำคัญ คือ กรดน้ำส้ม หรือกรดแอซิติก ที่ได้มาจากพืช มีคุณสมบัติเป็นกรด น้ำส้มสายชูที่ปลอดภัยต่อการบริโภค มีด้วยกัน 3 ชนิด คือ
น้ำส้มสายชูหมัก ได้การหมักธัญพืช ผลไม้ หรือน้ำตาล น้ำส้มสายชูชนิดนี้รสกลมกล่อมและมีกลิ่นหอม มีเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่ราคาค่อนข้างแพง
น้ำส้มสายชูกลั่น ได้จากการหมักแอลกอฮอล์กลั่นเจือจางกับเชื้อน้ำส้มสายชูแล้วนำไปกลั่นอีกครั้ง หรือนำน้ำส้มสายชูหมักมากลั่น น้ำส้มสายชูชนิดนี้กลิ่นและรสไม่ดีเท่าน้ำส้มสายชูหมัก แต่วิธีทำง่ายกว่าและใช้เวลาสั้นกว่า
น้ำส้มสายชูเทียม ได้จากการทำกรดน้ำส้มให้เจือจาง ใช้บริโภคกันแพร่หลายเพราะมีราคาถูก แม้จะไม่มีคุณภาพทางโภชนาการดีเท่าน้ำส้มสายชูหมักและกลั่น แต่ก็มีความปลอดภัย
น้ำส้มสายชูทั้ง 3 ชนิดต้องมีลักษณะใส ไม่มีตะกอน ไม่มีสี สำหรับน้ำส้มสายชูเทียมนั้นไม่ใช่น้ำส้มสายชูปลอม น้ำส้มสายชูเทียมนั้นคือการทำน้ำส้มสายชูให้เหมือนหรือคล้ายกับน้ำส้มสายชูจึงรับประทานได้ แต่น้ำส้มสายชูปลอม ทำจากกรดอย่างแรง หรือกรดแร่อิสระ เช่น กรดกำมะถันหรือกรดเกลือ ซึ่งมีโลหะหนักและสารเจือปน จึงมีฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรง และเป็นอันตรายต่อร่างกาย

น้ำส้มสายชูแท้ กับน้ำส้มสายชูปลอมทำจากอะไร
น้ำส้มสายชู เป็นของจำเป็นที่ต้องใช้ประจำ จึงมีผู้คิดหากำไรจากการขายน้ำส้มสายชูปลอม โดยใช้กรดกำมะถันเพียงเล็กน้อยผสมน้ำมากๆ ก็จะได้รสเปรี้ยวจัด เนื่องจากต้นทุนต่ำมาก จึงขายได้ในราคาถูกกว่าน้ำส้มแท้ ขายเพียงขวดละไม่กี่บาท ก็ได้กำไรสูงส่วนน้ำส้มสายชูแท้คือ กรดอาซิติก ซึ่งได้จากการหมักผลไม้ต่างๆ หรือการหมักอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว น้ำมันมะพร้าว หรือกากน้ำตาล บางครั้งเรียกว่า น้ำส้มสายชูหมัก
การเลือกซื้อน้ำส้มสายชู
1. ศึกษาฉลาก ชื่อสามัญทางการค้า เครื่องหมายการค้า เลขทะเบียนอาหาร เครื่องหมายมาตรฐานการค้า ผู้ผลิต ผู้แทนจำหน่าย วันหมดอายุ ปริมาตรสุทธิ
2. สังเกตความใสไม่มีตะกอนขวดและฝาขวดของน้ำสมสายชูไม่สึกกร่อน ผลึกสีขาวรูปร่างคล้ายกระดูกของผงชูรส
วิธีการทดสอบน้ำส้มสายชู
นำน้ำสมสายชูที่สงสัยใส่ภาชนะ หยดน้ำยาเยนเชียนไวโอเลตสีม่วงลงไปในน้ำส้มสายชู ถ้าไม่เปลี่ยนสีเป็นน้ำส้มสายชูแท้ ถ้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวหรือสีน้ำเงินเป็นน้ำส้มสายชูปลอม หรือใส่ผักชีลงไปในน้ำสมสายชูแล้วสังเกตการเปลี่ยนสี ถ้าน้ำส้มสายชูปลอมผักชีจะเปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองและจะไหม้อย่างรวดเร็ว

ผงชูรส

ผงชูรสแท้หรือปลอม

ในปัจจุบันการใช้ผงชูรสปรุงแต่งอาหารเป็นที่นิยมของพ่อบ้านแม่บ้านตลอดจนคนทำครัว คนปรุงอาหารตามร้านทั่ว ๆ ไป หรือแม้แต่ครัวเจก็ตาม
ด้วยเหตุนี้ ผู้ผลิตจึงคิดผลิตผงชูรสหลายยี่ห้อเพื่อเอาใจผู้บริโภค ชึ่งบางยี่ห้อก็เป็นของแท้ บางยี่ห้อก็มีวัตถุปลอมปน
ผงชูรสแท้ผลิตจากแป้งมันสำปะหลัง หรือจากกากน้ำตาล ลักษณะของผงชูรสจะเป็นเกล็ดหรือผลึกสีขาวขุ่นรูปร่างเหมือนกระดูกไม่มีความวาวแบบสะท้อนแสง มีรสชาติคล้ายเนื้อต้ม ส่วนผงชูรสที่ใช้วัตถุอื่นปลอมปนนั้น วัตถุบางชนิดไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภคเช่น ใช้เกลือ น้ำตาล แป้ง ชึ่งมีลักษณะเป็นเกล็ดเล็กเป็นเม็ด หรือเป็นผงปลอมปนเข้าไป แต่วัตถุบางชนิดก็เป็นอันตรายต่อผู้บริโภคได้ เช่น ใช้บอแรกซ์ หรือที่เรียกว่า น้ำประสานทอง บางคนเรียกว่า เหม่งแซ (หลายท่านเข้าใจผิดว่าเป็นแบะแช) โดยปรกติแล้วสารตัวนี้ใช้ในการเชื่อมทอง มีลักษณะเป็นผลึก เม็ดกลมเล็ก ๆ สีขาว ทึบแสง ลักษณะใกล้เคียงกับผงชูรส จึงมักนิยมนำมาปลอมปน บอแรกช์เป็นสารห้ามใช้ในอาหารหากร่างกายได้รับในปริมาณสูงอาจทำให้เสียชีวิตได้ ได้รับในปริมาณน้อยแต่บ่อยครั้ง จนเกิดการสะสมในร่างกายจะเกิดอาการเป็นพิษแบบเรื้อรังทำให้เบื่ออาหาร อ่อนแอ สับสน ระบบย่อยอาหารถูกรบกวน ผิวหนังอักเสบ
วัตถุอีกชนิดหนึ่งที่นิยมปลอมปนในผงชูรส คือ โซเดียมเมตาฟอสเฟต สารตัวนี้มีลักษณะเป็นผลึกขาวใส วาววับหัวท้ายมน ปกติใช้เป็นน้ำยาล้างหม้อน้ำรถยนต์ เมื่อรับประทานเข้าไปจะออกฤทธิ์เป็นยาถ่ายอย่างแรง ชึ่งอันตรายมาก ดังนั้นการใช้ผงชูรสจึงควรมีวิธีการตรวจสอบว่ามีวัตถุอื่นปลอมปนหรือไม่ชึ่งสามารถตรวจสอบได้ดังนี้
๑. นำผงชูรสประมาณเท่าเม็ดถั่วเขียว ละลายน้ำสะอาด ๑ ช้อนชา จนหมด นำกระดาษขมิ้นจุ่มลงไป ถ้ากระดาษขมิ้นเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีแดงหรือสีแดงเข้ม แสดงว่ามีน้ำประสานทองปนอยู่
๒. ใส่ผงชูรส ๑ ช้อนชา ในช้อนโลหะเผาจนใหม้ถ้าเป็นผงชูรสแท้จะไหม้ไฟเป็นถ่านสีดำที่ช้อน แต่ถ้ามีสารอื่นปลอมปน สารที่ปนอยู่นั้นจะหลอมตัวเป็นสารสีขาว
หมายเหตุ
วิธีทำกระดาษขมิ้น นำขมิ้นเหลืองที่บดแล้วประมาณ ๑ ช้อนชา แช่ในแอลกอฮอล์ หรือเหล้าขาวประมาณ ๓ ช้อนโต๊ะครึ่ง จะได้น้ำยาสีเหลือง นำกระดาษชับหรือกระดาษกล่องสีขาวไปจุ่มน้ำยานี้แล้วตากให้แห้ง ก็จะได้กระดาษขมิ้นตามต้องการ
การสังเกตผงชูรสด้วยตาเปล่า มีหลักสังเกตดังนี้
ภาชนะที่บรรจุต้องอยู่ในสภาพเรียบร้อย ไม่ฉีกขาด ไม่เลอะเลือน ฉลากชัดเจน โดยที่ฉลากจะต้องมีข้อความระบุดังนี้
- ชื่ออาหารแสดงคำว่า “ผงชูรส”
- เลขทะเบียนตำรับอาหาร
- ชื่อที่ตั้งของผู้ผลิตอย่างชัดเจน
- เดือน ปี ที่ผลิต
อย่างไรก็ตาม แม่บ้านพ่อบ้านเจหลายท่านเลิกใช้ผงชูรสกันมานานแล้ว และที่สำคัญที่สุดในปัจจุบันมีผงชูรสที่เป็นเจแท้ ๆ ออกมาจำหน่าย แต่ราคายังสูงอยู่ คาดว่าต่อไปถ้ามีผู้นิยมบริโภคมากขึ้น ผงชูรสเจแท้ ๆ อาจจะมีราคาถูกลง
ตรวจสอบผงชูรส
ผงชูรสเป็นสารเคมีชนิดหนึ่ง มีชื่อว่า (Monosodium Glutamate) ในทางโภชนาการผงชูรสไม่มีคุณค่าทางอาหารในแง่ของแคลอรี่ วิตามินและเกลือแร่ สาเหตุที่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกอร่อยในอาหาร ที่ใส่ผงชูรส เนื่องจากสารในผงชูรสจะกระตุ้นต่อมรับรสที่ลิ้นของ ผู้บริโภคให้ขยายตัวขึ้น จนทำให้อาหารที่ใส่ผงชูรสมีรสอร่อยขึ้น ผงชูรสไม่ใช่สิ่งจำเป็นต่อร่างกาย ผู้บริโภคบางรายอาจมีอาการ แพ้ผงชูรส ภายหลังกินอาหารแล้วเกิดมีอาการชาที่ปาก ลิ้น ปวดกล้ามเนื้อบริเวณโหนกแก้ม ต้นคอ หน้าอก หัวใจเต้นช้าลง หายใจไม่สะดวก และอาจมีการบีบตัวของกระเพาะอาหารและ ลำไส้ ทำให้ปวดท้อง คลื่นไส้ เป็นต้น
วิธีตรวจสอบผงชูรสว่าแท้หรือไม่ ทำได้หลายวิธีดังนี้
โดยวิธีเผา
ทำโดยนำเอาผงชูรสประมาณครึ่งช้อนกาแฟใส่ช้อนโลหะแล้วนำไปเผาบนเปลวไฟ ถ้าเป็นผงชูรสแท้จะไหม้เป็นเถ้าถ่านสีดำแต่ถ้ามีสารเคมีอื่นเจือปนอยู่จะมีส่วนหนึ่งที่ไม่ไหม้ไฟแต่จะมีการหลอมตัวกันเป็นสีขาวซึ่งอาจจะเป็นสารบอแรกซ์ หรือโซเดียมเมตาฟอสเฟต
โดยวิธีทางเคมี
ตรวจดูว่ามีน้ำประสานทอง (Borax) อยู่หรือไม่ทำได้โดยการละลายผงชูรสขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียวในน้ำสะอาด1 ช้อนชา แล้วนำกระดาษขมิ้นจุ่มลงไปถ้าเป็นผงชูรสแท้สีของกระดาษขมิ้นจะไม่เปลี่ยนสีแต่ถ้าเป็นผงชูรสที่มีสารบอแรกซ์เจือปนอยู่กระดาษขมิ้นจะเปลี่ยนเป็นสีแดง
ตรวจดูว่ามีโซเดียมเมตาฟอสเฟต (Sodium Metaphosphate)อยู่หรือไม่ทำได้โดยการละลายผงชูรส 1 ช้อนชา ในน้ำสะอาดครึ่งถ้วยแล้วเทน้ำปูนขาวที่ผสมกับกรดน้ำส้ม 1 ช้อนชาถ้าเป็นผงชูรสแท้จะไม่มีการตกตะกอนแต่ถ้ามีการตกตะกอนแสดงว่ามีสารโซเดียมเมตาฟอสเฟตเจือปนอยู่
ลักษณะผงชูรสแท้ มีดังนี้
เป็นผลึก สีขาวขุ่น เป็นรูปกระดูกหรือลิ่ม
มีรสหวานอ่อนๆปนเค็มเล็กน้อย
สามารถละลายน้ำได้ดี
พิษภัยและอันตรายที่เกิดจากตัว "ผงชูรสแท้"
พิษภัยและอันตรายที่เกิดจากเกลือโซเดียม
ผงชูรสมีโซเดียมที่มาจากโซดาไฟเป็นองค์ประกอบสำคัญเช่นเดียวกับเกลือแกง แต่อันตรายมากกว่าเกลือแกง ตรงที่ว่าเกลือแกงใช้เพียงนิดเดียว ก็รู้สึกว่ามีรสเค็ม แต่ผงชูรสใส่มากเท่าไร ก็ไม่รู้สึกตัวว่ามีปริมาณโซเดียมมากเท่าไร เพราะไม่มีรสเค็มให้รู้สึกเหมือนอย่างเกลือแกง หรือพูดอีกนัยหนึ่ง ผงชูรสมี "พิษแฝง" ในเรื่องโซเดียม ซึ่งมีพิษภัยอันตรายดังต่อไปนี้
1. ทำให้ภูมิต้านทานหรือภูมิคุ้มกันของร่างกาย มนุษย์ลดลง ถึงแม้ว่าผงชูรสจะไม่ทำให้เกิดโรคเอดส์ โดยตรง แต่ภูมิคุ้มกันร่างกายบกพร่อง คือ ความหมายของโรคเอดส์ (AIDS ) ซึ่งย่อมาจากคำว่า Antibody Immune Defficiency Syndrome
2. ทำให้เกิดการคั่งในสมองเด็ก ซึ่งเมื่อเด็กโต ขึ้นจะเป็นคนปัญญาอ่อน ในปัจจุบันนี้มีเด็กปัญญา อ่อนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่ผงชูรสเผยแพร่ในประเทศไทย จะเกี่ยวข้องกันทั้งทางตรงและทางอ้อม หรือไม่น่าศึกษา
3. ทำให้เด็กทารกเกิดอาการชักโคมา ซึ่งบางครั้ง แพทย์ไม่รู้สาเหตุ อาจทำให้การรักษาผิดพลาดเป็นอันตรายได้
4. เป็นภัยต่อหญิงมีครรภ์ ทำให้ร่างกายบวม และยังมีพิษต่อทารกในครรภ์และทารกแรกเกิดด้วย
5. อันตรายต่อผู้เจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ เช่น โรคไต ความดันสูง โรคหัวใจ และโรคอื่นๆ ที่แพทย์ ห้ามกินของเค็ม ซึ่งหมายถึงการห้ามกินเกลือโซเดียม นั่นเอง ได้แก่ เกลือแกง และผงชูรส เป็นต้น
พิษภัยและอันตรายที่เกิดจากตัว "ผงชูรสแท้"
1. ทำให้เกิดอาการแพ้ผงชูรส ซึ่งจะมีอาการชา และร้อนวูบวาบที่ ปาก ลิ้น ใบหน้า โหนกแก้ม ต้นคือ หน้าอก บางคนมีผื่นแดงเกิดขึ้นตามตัว แน่นหน้า อก หายใจไม่สะดวก เป็นต้น จนเป็นที่รู้จักและขนาน นามโรคแพ้ผงชูรส ว่า " ไชนีสเรสทัวรองซินโดรม" (Chinese Restaurant Syndrome ) หรือ "โรคภัตตาคารจีน" เพราะร้านอาหารจีนมักใช้ผงชูรสกันมากนั่นเอง
2.ทำลายสมองส่วนหน้าที่เรียกว่า ไฮโปทาลามัส (HYPOTHALAMUS) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมการเจริญเติบโต และระบบสืบพันธุ์ของร่างกาย ทำให้การเจริญเติบโตช้า ปัญญาอ่อน ระบบสืบพันธุ์ผิดปกติ เป็นหมัน อวัยวะสืบพันธุ์เล็กลงทั้งในเรื่องขนาดและน้ำหนัก ฯลฯ
3.ทำลายระบบประสาทตา สายตาเสียหรือเกิดตาบอดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสัตว์ทดลอง ยิ่งอายุน้อยจะยิ่งเกิดผลร้ายมาก
4. ทำลายกระดูกและไขกระดูก ซึ่งเป็นส่วนที่ผลิตเม็ดเลือดแดงในร่างกาย อาจทำให้เกิดโรคโลหิตจางได้ นอกเหนือจากโรคทรัพย์จางเพราะต้องใช้เงินซื้อผงชูรสโดยไม่จำเป็น
5. ทำให้ไวตามินในร่างกายลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไวตามินบี-6 ทำให้ร่างกายผิดปกติและเป็นโรคผิวหนังได้ง่าย (การค้นพบนี้ทำให้ไวตามินบี-6 แก้โรคภูมิแพ้ผงชูรสได้)
6. เกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะ อย่างยิ่งผงชูรสที่ผ่านความร้อนสูงๆ เช่น การปิ้ง ย่าง เผา ทำให้เกิดสารก่อมะเร็งในอวัยวะต่างๆ ได้หลายแห่ง เช่น ลำไส้ใหญ่ ตับ และสมอง เป็นต้น
7. ทำลายระบบประสาทส่วนกลาง (Central Nervous System) ทำให้เป็นโรคประสาทได้ง่ายขึ้น ในปัจจุบันมีผู้ป่วยด้วยโรคประสาทกันมากขึ้นเรื่อยๆ น่าศึกษาว่าเกิดจากผงชูรสหรือไม่
8. เปลี่ยนแปลงโครโมโซม ทำให้ร่างกายเกิดวิรูปหรือผิดปกติ ปากแหว่ง หูแหว่ง จมูกวิ่น แขนขาพิการ เป็นต้น
9. ถ้ากินมากจะผ่านเยื่อกั้นระหว่างรกภายในร่างกายของผู้เป็นมารดากับทารกในครรภ์ได้ ทำให้ทารกในครรภ์ได้รับผลกระทบจากผงชูรส
10. ทำให้ เด็กเล็กถึงตายได้ เด็กไทยอายุ 20 เดือน ถึงแก่ความ ตาย เมื่อกินขนมครกโรยผงชูรสด้วยความเข้าใจผิด คิดว่าเป็นน้ำตาล (เรื่องนี้ รศ.ดร.พิชัย โตวิวิชญ์ ระบุว่า ได้สัมภาษณ์บิดามารดาของเด็กเอง)