วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ปู่เย็น

ปู่เย็น แก้วมะณี เป็นชาวเพชรบุรี นับถือศาสนาอิสลาม เดิมประกอบอาชีพรับจ้างเลี้ยงวัว มีภรรยาชื่อนางเอิบ แก้วมะณี แต่เสียชีวิตไปแล้วจากนั้นก็ใช้ชีวิตอยู่ในเรือมาตลอด เลี้ยงตนเองด้วยการหาปลาขายมีรายได้วันละ 30-70 บาท หากนับอายุตามหลักฐานทะเบียนราษฎร์ปู่มีอายุ 86 ปี แต่ปู่เย็นเล่าให้ฟังว่าเกิดปีฉลู ขณะนี้อายุ 105 ปี ซึ่งจากการสอบถามผู้สูงอายุกว่า 80 ปีใน อ.เมือง ยืนยันว่าเมื่อยังเด็กก็เห็นปู่เย็นเป็นหนุ่มใหญ่แล้ว
ปู่เย็นเป็นคนเกรงใจคนอย่างมาก ไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากใครง่ายๆ ไม่ยอมให้ใครทำอะไรให้ฟรีๆ โดยบอกว่า ตั้งแต่ภรรยาเสียชีวิตก็ไปใช้ชีวิตอยู่ในเรือ และการหาปลาก็ทำให้ลืมความคิดถึงภรรยาไปได้บ้าง และชีวติตนก็ไม่ได้ลำบากอะไรแม้แต่น้อย
ฝากแด่เยาวชนไทยให้คิดถึงความ พอเพียง ดังทีในหลวงของเราได้ทรงดำรัสแนะแนวทางแก่ชาวไทยทั่วทุกคน ความพอเพียงคือการอยู่อย่างพอมีพอกิน มีเท่าใดก็ใช้เท่านั้น อย่าโลภและหลงในความไม่พอของมนุษย์
ข้อคิดจากปู่....... *มีก็กิน....ไม่มีก็ไม่กิน ไม่ขอใคร
คนเราอดตาย...หายาก ถ้าไม่เจ็บไม่ไข้นะ
*ชีวิตคนเหมือนสะพาน มีขึ้น มีลง พอสุดท้าย......ก็ตาย
*กินฟรีได้...แต่ไม่อยากกิน เกรงใจ...ไม่เอา อาย
ของเขาซื้อเขาขาย...ไหนต้องตัก ไหนต้อล้าง
*ดูแต่หอยซิ...ไม่มีมือไม่มีตีน
มันยังหากินได้เอง
ประสาอะไรกับคนมีมือมีเท้า
หากินเองไม่ได้....ก็อายหอย

วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ถ้าสิ่งของพูดได้..คงจะบอกว่า
กระทะ : เปิดไฟเบาๆหน่อย..ร้อนโว้ย
โถส้วม : พี่ๆ เสร็จแล้วราดน้ำด้วยสิพี่..เหลืองเชียว
ไฟฉาย : วันไหนที่เธอหมดหนทางสว่าง(ไฟดับ) ขอให้เธอคิดถึงฉันเป็นคนแรก
ยกทรง : เฮ้ย ๆ..จะเอาฟองน้ำมายัดทำไมวะ...ยอมรับความจริงหน่อยดิ
โทรศัพท์ : หนวกหูว่ะ..พูดไปอยู่ได้ ปากก็เหม็น
กล้องถ่ายรูป : หน้าเห่ยๆ ทำท่าไหนก็ไม่สวยหรอกโว้ยย
นาฬิกา : เวลาไปไม่ทันนัด..โทษว่ากรูเสีย ให้กรูเป็นแพะรับบาปแทนเมิงอยู่เรื่อย
โลงศพ : สุดท้ายพวกเมิงก็มานอนกับกรู
เข็มทิศ : หลงทางสิเมิง!!
แก้ว : จับเบาๆหน่อยสิ แตกเมื่อไหร่เมิงเจ็บ
ผ้าเช็ดหน้า : น้ำตาพอไหว น้ำหมาก น้ำลาย น้ำมูก..ไม่เอานะเว้ยย
กระสอบทราย : ผมไปทำอะไรให้พี่เจ็บแค้นนักหนาเนี่ย
กีตาร์ : เล่นไม่ดีมาโทษว่ากรูสายเพี้ยน
ลูกฟุตบอล : เล่นกันจนผมเวียนหัวแร้วโว้ย...โยนกันไปกันมาอยู่ได้ เชยชมสมเท้าแร้วก็เตะกรูส่ง..
มีด : หั่นหมู..หั่นผัก ง่ายดาย แต่หั่นเธอออกจากใจ..ยากจัง
ผ้าเช็ดหน้า2 : เข้าใจแร้วครับว่า..หมาตายในปากเป็นไง
พัดลม : เมิงเย็น..กรูร้อนแอร์ : บิลค่าไฟมา โทษกรูทั้งปี
น้ำแข็ง : แค่เธอเอามือมาจับตัวฉัน ฉันก็แทบจะละลายคามือเธอแร้ว
รองเท้า : เดินดูทางหน่อยสิวะ..เหยียบขี้หมาจนได้ ซวยเลยกรู..เต็ม ๆ เลยนะเมิง แต่เต็มหน้ากรู!!
กระจก : อินี่บ้าหรือเปล่า มาถามอยู่ได้..ว่าใครงามเลิศในปฐพี
CD - แผ่นก๊อป : เราเป็นได้แค่ตัวแทนของใครบางคนไม่ใช่ตัวจริง..แต่ราคาถูกกว่า
หนังสือโป๊ : ช่วยเช็ดน้ำลายออกจากตัวผมด้วยครับ(น้ำลายจิงรึป่าววว...รึว่า....)
เข็มฉีดยา : ไม่ต้องกลัวนะที่รัก มันเจ็บเหมือนมดกัดเอง
เข็มฉีดยา2 : อ้ายเด็กเวงนี่..ร้องอยู่ได้จะกลัวทำมายแค่เข็ม แม่เมิงตีเจ็บกว่ากรูอีก
ปฏิทิน : เรามีเวลาอยู่ด้วยกัน แค่ปีเดียวเองนะครับ..ฉีกกรู กรูต่อย!!
หวี : ลุง..มีแค่นี้เอามือลูบก็ได้
เก้าอี้ : โอ้ว..ก้นช้างหรือคนวะเนี่ย
รีโมท : เราอยู่ในภาวะที่โดนกดดันอย่างหนัก ลูกไก่ในกำมือชัด ๆ ทะเลาะกันทีไร..เขวี้ยงกรูทิ้งทุกที
กลอง : เฮ้ย ๆ เมิงอ่ะมัน แต่กุเจ็บอ่ะนะ เอาเข้าไป

วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554



ผู้หญิงฉลาดรักย่อมรู้จักผู้ชายในหลายแง่มุม แต่ที่ควรรู้จักคือจิตใจของเธอเอง รู้จักศักยภาพและคุณค่าในตัวชัดเจน รู้ว่าควรทุ่มเทใจของตัวเองแค่ไหน และสมควรได้รักตอบเพียงใด รวมเคล็ดลับต่างๆ ที่ผู้หญิงควรรู้บ้าง ดังนี้
1. รู้ว่า… ต้องใช้ชีวิตคุ้มค่า
เมื่อมีคนรัก จงปรับเปลี่ยนเฉพาะในส่วนที่ทำให้ชีวิตคู่ราบรื่น หากคุณเปลี่ยนแปลงไปทุกอย่างกลายเป็นผู้หญิงอีกคนหนึ่งซึ่งเขาไม่คุ้นเคย เขาก็จะค่อย ๆ หมดความสนใจในตัวคุณ ถ้าคุณมองไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง แล้วใครจะมองเห็นคุณค่าของคุณ
2. รู้ว่า… เซ็กส์ไม่ใช่เรื่องง่าย
ไม่ว่าคุณจะหลงเสน่ห์เขาแค่ไหน ไม่ว่าความสัมพันธ์จะดำเนินต่อไปอย่างไรอย่าลืมว่าคนแปลกหน้าก็ยังเป็นคนแปลกหน้าอยู่ดี ถึงประวัติส่วนตัวเขาจะดี แต่ที่แน่ ๆ คุณไม่มีโอกาสรู้ว่าเขามีโรคติดต่อทางเพศหรือเปล่า ไม่จำเป็นที่คุณต้องมีอะไรกับเขาถ้าคุณยังไม่พร้อมในทุกด้าน เรารู้จักรักผู้ชายได้โดยไม่ต้องมีเซ็กส์ด้วย
3. รู้ว่า..ผู้ชายแสนดีไม่จำเป็นต้องหล่อ
ถ้าเขาคนนั้นทำให้คุณมีความสุข อบอุ่น หัวเราะได้มีความชอบอะไรเหมือนกันหลายอย่าง แถมเขายังฉลาด แต่ไม่หล่อเลย คุณสาว ๆ ลองไปเดินสังเกตุตามซูเปอร์มาเก็ตดูคะ ผู้ชายที่มาซื้อของกับครอบครัวหรือเล่นอยู่กับลูก ๆ ตามชายหาด แฟมิลี่แมนเหล่านี้หน้าตาอาจจะไม่เหมือนนายแบบในนิตยสารเลยแต่เขานี่แหละที่เหมาะจะเป็นพ่อของลูกคุณ
4. รู้ว่า….ความเป็นเพื่อนยาวนานกว่าความรัก
หากคุณและเขามีปัญหาทะเลาะกันบ่อย ๆ ในยามเป็นคนรักกัน ลองคุยกันแล้วเปลี่ยนความสัมพันธ์ให้เป็นรักแบบเพื่อน เสียก่อน เรียนรู้ที่จะคบและศึกษานิสัยใจคอกันไปนาน ๆ แล้วค่อยพัฒนาความสัมพันธ์นั้นไปสู่การเป็นคนรักกัน คู่รักคือมิตรภาพที่ยาวนาน
5. รู้ว่า…ความรักมีปริมาณ 50-50
สิ่งที่คู่รักต้องการ คือ ความรักที่พบกันครึ่งทางมีการให้และรักอย่างสมดุล ต่างฝ่ายต่างเอาใจใส่ห่วงใยกันช่วยเหลือกัน มอบความรักให้อีกฝ่ายเท่าเทียมกัน ไม่มากเกินไป หรือน้อยเกินไป
6. รู้ว่า…ทุกคนมีพื้นที่ส่วนตัว
ในเรื่องความเป็นส่วนตัว ไม่มีใครบอกได้ชัดเจนว่า แค่ไหนและอย่างไร ควรเปิดเผยเรื่องส่วนตัวต่อกันได้มากน้อยแค่ไหน แต่ละคนมาจากพื้นฐานไม่เหมือนกัน ในพื้นที่ส่วนตัวนั้น ควรตกลงกันก่อนที่จะสร้างความสัมพันธ์กับใคร ควรพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องนี้อยู่เสมอ ในความเป็นจริง ของของเขาคือของเขา ไม่ใช่ของคุณ และ ของของคุณคือของคุณ ไม่ใช่ของเขา
7. รู้ว่า… เราไม่มีวันเปลี่ยนแปลงผู้ชายได้
เหตุผลก็คือ เราไม่สามารถและไม่สมควรที่จะพยายามเปลี่ยนสิ่งที่เขาชอบหรือไม่ชอบ ไม่มีใครเปลี่ยนใครได้นอกจากตัวของเขาเอง เก็บพลังใจกายและเวลาอันมีค่าที่จะสูญเสียไปไว้ให้กับคนที่ต้องการความสัมพันธ์ดีๆ กับเราดีกว่า หรือทำอะไรก็ได้ร้อยแปดประการที่ทำให้ชีวิตคุณดีขึ้น หากเขาแสดงการไม่ให้เกียรติคุณเขาก็ไม่สมควรที่จะได้รับความรักห่วงใยจากคุณอีก ถ้าปล่อยให้เขาทำตัวแย่กับเราเขาก็จะแย่ลงเรื่อย ๆ
8. รู้ว่า….ความใกล้ชิดร้องขอกันไม่ได้
อยู่ที่ความต้องการและความรับผิดชอบ และความรู้สึกที่สองฝ่ายมีให้กัน หากคุณต้องการความไว้ใจคุณต้องให้เขาก่อน และหากคุณต้องการความใกล้ชิดคุณต้องลองเป็นฝ่ายมีเวลาให้เขาก่อน
9. รู้ว่า….งานบ้านไม่ใช่เฉพาะของผู้หญิงฝ่ายเดียว
ความสัมพันธ์จะยืดยาวต้องอาศัยคนสองคนมีบทบาทร่วมกัน ปัจจุบันผู้หญิงไม่ได้ถูกจำกัดให้ทำงานอยู่แต่ในบ้านเท่านั้น ต้องรู้วิธีแบ่งงานในบ้านให้ร่วมกันทำได้ทั้งสองฝ่ายโดยที่ไม่เสียความรู้สึก และ ผู้ชายที่ทำงานบ้านเป็น เป็นผู้ชายที่เซ็กซี่ที่สุด
10. รู้ว่า…เป็นคนรักต่างกับคนรับใช้
จริงแล้วผู้ชายที่มีความรับผิดชอบดี เขาจะไม่ชอบผู้หญิงที่อ่อนแอและเป็นเบี้ยล่างให้เขาตลอดเวลา หรือเกรงใจผู้อื่นจนปฏิเสธใครไม่เป็น เราต้องรู้จักปฏิเสธและโต้กลับบ้าง การปฏิเสธข้อเรียกร้องของคนอื่นบ้างไม่ใช่เรื่องหยาบคาย
11. รู้ว่า…การแต่งงานไม่ใช่กระดาษแผ่นเดียว
ใบทะเบียนสมรสไม่ใช่สิ่งที่จะรับรองว่าชีวิตคู่ของคุณจะอยู่กันตลอดรอดฝั่งแต่การแต่งงานนั้น เป็น”งาน”จริง ๆ งานที่ต้องช่วยกันคิด ช่วยกันแก้ ต้องทำความตกลงกันในหลายเรื่อง อาศัยการประนีประนอม และหมายถึงการใช้ชีวิตซ้ำ ๆ ในแต่ละวันกับมนุษย์คนเดิม ซึ่งเขาอาจจะไม่จำเป็นต้องได้ดั่งใจคุณทุกอย่าง ไม่จำเป็นต้องรู้สึกหรือมีความคิดเห็นเหมือนคุณทุกเรื่อง และชีวิตคู่ไม่ต้องโรแมนติกตลอดเวลาก็สามารถมีความหมายลึกซึ้งและเป็นรักที่แท้และฉลาดได้
12. รู้ว่า….ไม่ควรประจานข้อบกพร่องของตัวเองให้เขาฟัง
ทุกคนย่อมมีข้อเสียหรือนิสัยแย่ๆ กันทั้งนั้น แต่ๆๆๆ ก็ไม่ต้องไม่แฉทั้งหมดว่า เรามีข้อเสียอะไรบ้าง เดี๋ยวพาลจะโบกมือบ๊าย บายกันไปซะก่อนจะได้คบกัน..และแน่นอนหนุ่มๆ ของคุณก็มีข้อเสียเช่นกัน ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าคุณทั้งคู่จะปรับตัว ปรับใจ ยอมรับนิสัยแย่ๆ ได้มั้ย ถ้าไม่ก็คงต้องเซย์กู้ดบายกันหละคราวนี้
13. รู้ว่า… ต้องไม่เป็นหนังสือที่อ่านง่ายสำหรับเขา
คงเคยได้ยินกันมาบ้างแล้วว่า " อะไรที่ได้มาอย่าง ง่ายๆ มันก็ไปง่ายๆ ได้เช่นกัน หรือดูไม่มีคุณค่าให้รักษานั่นเอง
14. รู้ว่า… ผู้ชายไม่ใช่ซูเปอร์แมน เขาเองก็อ่อนแอและท้อแท้เป็น
ใครว่าผู้ชายร้องไห้ไม่เป็น..อันนี้เราต้องเขาใจนะคะ แม้เขาจะมีร่างกายที่แข็งแรงกว่าผู้หญิงเรา แต่ก็ก็มีสิทธิ์ใจปลาซิวได้เช่นกัน ดังนั้นอย่าคาดหวังว่าทุกๆ เรื่อง ผู้ชายของคุณจะเก่งไปซะทุกเรื่อง..เผลอๆ บางเรื่อง
ผู้หญิงเราทำได้ดีกว่าเขาซะอีก
15. รู้ว่า… อย่าเรียกร้องความเท่าเทียมจากผู้ชาย ถ้าเรายังดูแลตัวเองไม่ได้
หากคุณยังไม่มีความเข้มแข็งพอ หรือดูแลตัวเองยังไม่ได้ แล้วอย่างนี้เราจะมีสิทธิ์อะไรไปต่อกรกับผู้ชายแมนๆ เขาได้ ดีไม่ดีจะโดนดูถูกเอาด้วยนะ

ปรัชญาจากเสน่ห์ผ้าขี้ริ้ว

1. ผ้าขี้ริ้วยอมสกปรกเพื่อให้สิ่งอื่นสะอาด เสน่ห์ของคนอยู่ที่ยอมลำบากเพื่อให้ผู้อื่นเป็นสุข พ่อแม่ยอมเหนื่อยเพื่อให้ลูกหลานอยู่สุขสบาย ความสุขแท้ของคนคือการได้ยืนแอบยิ้ม อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของผู้อื่น
2. ผ้าขี้ริ้วดูดซับความสกปรกได้ แต่ก็สลัดความสกปรกออกจากตัวได้ตลอดเวลา เสน่ห์ของคนอยู่ที่รู้ตัวเองว่าสกปรก ถึงเวลาต้องชำระล้างแล้ว มิใช่อมความสกปรกไว้แล้ว แกล้งบอกว่าตนเองสะอาด
3. ผ้าขี้ริ้วเป็นผ้าที่สะอาดที่สุด ในขณะที่คนมองว่าสกปรกที่สุด เหมือนคนที่ฝึกหัดขัดเกลาตนเอง รู้จักถ่อมตนและอ่อนโยน ไม่โอหังอวดดีให้เป็นที่รังเกียจหมั่นไส้ของคนอื่น เขาจะเป็นคนที่มีคุณค่า ไม่ว่าจะมาจากสกุลใด การศึกษามากหรือน้อยก็ตาม เป็นผู้ใฝ่รู้แต่ไม่อวดดี เหมือนผ้าขี้ริ้วห่อทอง
4. ผ้าขี้ริ้วถึงจะเป็นผ้าไม่มีราคา แต่มีคุณค่ายิ่งใหญ่ได้ เหมือนคนที่พยายามทำตนให้มีคุณค่า ด้วยการทำงานมิใช่ด้วยการประจบ ทำตนให้มีประโยชน์ ให้มีค่า ไม่ใช่งอมืองอเท้า น้อยเนื้อต่ำใจในวาสนาชะตาชีวิต ต้องสร้างกำลังใจให้ตนเองอย่ารอคอยจากคนอื่น
5. ผ้าขี้ริ้วไม่เกี่ยงงอนว่าจะถูกใช้เช็ดถูอะไร เหมือนคนที่ยอมตัวอาสาทำงานที่ได้รับมอบหมาย โดยไม่ปริปากบ่น รู้จักอาสาคน อาสาทำงาน ต้องตั้งใจทำงานโดยไม่เกี่ยงงอน ไม่ว่าจะเป็นงานใด ๆ ก็ตาม คนที่ตกงานเพราะไม่ยอมทำงาน
6. ผ้าขี้ริ้วยอมให้ถูกใช้งานในที่สกปรกที่สุด เหมือนคนที่ยอมทำในสิ่งที่คนทั้งหลายรังเกียจ ที่เขาเห็นว่าเป็นงานชั้นต่ำ แต่ก็ตั้งใจทำให้เป็นของมีค่าขึ้นมาได้ หรือยินดีในการบริการ เหมือนคนที่อิ่มเอิบเมื่อได้บริการรับใช้คนอื่น รับใช้สังคม ดีใจเมื่อคนยินดีมาใช้บริการความรู้ ความสามารถของตน และยินดีที่ได้เสนอตัวเข้าไปบริการมากกว่าเข้าไปบริหาร
7. ผ้าขี้ริ้วพอใจที่ได้อยู่เบื้องหลังความสะอาด เหมือนคนควรพอใจที่ได้อยู่เบื้องหลัง ความสำเร็จของคนอื่น ต้องมีความพอใจที่จะทำงานปิดทองหลังพระ เป็นนายอินหรือนางอิน ผู้ปิดทองหลังพระ มีความสุขและภูมิใจที่ได้มอบความสำเร็จให้คนอื่น มีมากที่ผู้น้อยบางคน ทำงานแล้วทำให้ผู้ใหญ่เล็กลง ขณะที่ตัวเองโตขึ้น
8. ผ้าขี้ริ้วทนทานต่อการขัดถูซักล้างไม่เปราะบาง เหมือนคนที่มีความอดทน ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคปัญหา แม้จะเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็อดทนได้ เพื่อให้สำเร็จ ประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น มีจิตใจหนักแน่นไม่เปราะบางหักง่าย คือไม่เป็นคนทุกข์ง่ายใจเบา แต่นิ่งและหนักแน่นคงดุจแผ่นดิน
9. ผ้าขี้ริ้วแม้จะถูกมองว่าเป็นผ้าขี้ริ้ว แต่ไม่ทำตัวให้ขี้เหร่ เหมือนคนที่รู้ตัวเองว่า กำลังถูกึนปรามาสสบประมาท จะต้องตั้งใจเอาชนะอุปสรรค ครงนั้นให้ได้ ไม่พ่ายแพ้ต่อคำปรามาสของผู้อื่น รู้ตัวตลอดเวลาว่ากำลังทำอะไรและมีกำลังใจในสิ่งนั้น มองเห็นคุณค่าจากสิ่งที่คนทั้งหลายมองว่าไร้ค่า เมื่อมีปัญหาให้หัดมองสองด้านเสมอ ผ้าขี้ริ้วมีเสน่ห์เพราะยอมสัมผัสกับสิ่งสกปรก
10. ชีวิตของคนเราก็เช่นกัน หากทนความทุกข์ยากลำบาก ยอมสัมผัสกับงานที่ต่ำต้อยได้ก็จะมีเสน่ห์ และมีความหมาย ทุกคนจึงควรพากเพียรพยายามสร้างเสน่ห์ให้กับชีวิต อย่างที่ผ้าขี้ริ้วสร้างเสน่ห์ให้กับตนเอง คุณเห็นด้วยไหม ที่ว่าเราต้องทำตัวเองให้มีคุณค่าและมองเห็นค่าของตัวเองก่อน แล้วเราจะไม่รู้สึกท้อแท้หมดหวัง

วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

อ่านกลอนเมื่อ 50 ปีที่แล้ว

เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๐๒ ก่อนศาลโลกจะตัดสิน ๒ ปีเศษ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้แต่งกลอนด่าเขมรไว้ ว่าเขมรเป็นโคตรเนรคุณ...
"สัปดาห์นี้มีเรื่องความเมืองใหญ่
ไทยถูกฟ้องขับไล่ขึ้นโรงศาล
เคยเป็นเรื่องโต้เถียงกันมานาน
ที่ยอดเขาพระวิหารรู้ทั่วกัน

กะลาครอบมานานโบราณว่า
พอแลเห็นท้องฟ้าก็หุนหัน
คิดว่าตนนั้นใหญ่ใครไม่ทัน
ทำกำเริบเสิบสันทุกอย่างไป

อันคนไทยนั้นสุภาพไม่หยาบหยาม
เห็นใครหย่อนอ่อนความก็ยกให้
ถึงล่วงเกินพลาดพลั้งยังอภัย
ด้วยเห็นใจว่ายังเยาว์เบาความคิด
เขียนบทความด่าตะบึงถึงหัวหู

ไทยก็ยังนิ่งอยู่ไม่ถือผิด
สั่งถอนทูตเอิกเกริกเลิกเป็นมิตร
แล้วกลับติดตามต่อขอคืนดี
ไทยก็ยอมตามใจไม่ดึงดื้อ

เพราะไทยถือเขมรผองเหมือนน้องพี่
คิดตกลงปลงกันได้ด้วยไมตรี
ถึงคราวนี้ใจเขมรแลเห็นกัน
หากไทยจำล้ำเลิกบ้างอ้างขอบเขต

เมืองเขมรทั้งประเทศของใครนั่น?
ใครเล่าตั้งวงศ์กษัตริย์ปัจจุบัน
องค์ด้วงนั้นคือใครที่ไหนมา?
เป็นเพียงเจ้าไม่มีศาลซมซานวิ่ง

ได้แอบอิงอำนาจไทยจึงใหญ่กล้า
ทัพไทยช่วยปราบศัตรูกู้พารา
สถาปนาจัดระบอบให้ครอบครอง
ได้เดชไทยไปคุ้มกะลาหัว

จึงตั้งตัวขึ้นมาอย่างจองหอง
เป็นข้าขัณฑสีมาฝ่าละออง
ส่งดอกไม้เงินทองตลอดมา
ไม่เหลียวดูโภไคไอศวรรย์

ทั้งเครื่องราชกกุธภัณฑ์เป็นหนักหนา
ฝีมือไทยแน่นักประจักษ์ตา
เพราะทรงพระกรุณาประทานไป
มีพระคุณจุนเจือเหลือประมาณ

ถึงลูกหลานกลับเนรคุณได้
สมกับคำโบราณท่านว่าไว้
อย่าไว้ใจเขมรเห็นจริงเอย...

วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

15 นาทีเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น

การดูแลสุขภาพอาจดูเป็นเรื่องน่าเบื่อและยุ่งยากแต่ที่จริงช่วงเวลาเล็กๆ น้อยๆ แค่ 5 -15 นาทีก็ช่วยให้ร่างกายดีขึ้นได้แบบง่ายๆ เป็นของขวัญวันต้นปีที่ดีที่สุดสำหรับตัวคุณเอง โดยแบ่งเวลาก่อนหรือหลังกิจกรรมที่คุณทำอยู่แล้วประจำวันแล้วเพิ่มรายละเอียดที่เราแนะนำเข้าไปอีกนิด เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นค่ะ
ดื่มน้ำ 1 นาที ตอนตื่นนอน เมื่อตื่นนอนแล้วควรดื่มน้ำ1-2 แก้วเพื่อกระตุ้นการทำงานของอวัยวะ และระบบขับถ่าย ทำให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นหากกลัวลืมให้วางขวดและแก้วน้ำไว้ที่หัวเตียงก่อนนอน เพื่อที่จะดื่มได้ทันทีที่ตื่นขึ้น
หัวเราะ 15 นาที ก่อนอาหารเย็น ผลัดกันเล่าเรื่องตลกกับคนในครอบครัวคนละ 1 เรื่องทุกวันและหัวเราะเต็มเสียงให้ลมผ่านปาก ลำคอ ปอด กระเพาะ ลำไส้ใหญ่ - เล็ก จนรู้สึกว่าอวัยวะทุกส่วนเคลื่อนไหว หรือจนรู้สึกเกร็งหน้าท้อง เพื่อให้ร่างกายได้ออกซิเจนมากขึ้นฟอกปอด ป้องกันการเวียนหัว อ่อนเพลีย แถมยังเพิ่มความผูกพันในครอบครัวให้แน่นแฟ้นขึ้นด้วย
เดินเพิ่มขึ้น 15 นาที ก่อนเริ่มงาน เปลี่ยนจากใช้ลิฟท์เป็นเดินขึ้น-ลงบันไดแทนหรือขยับไปจอดรถไกลขึ้นอีกหน่อย เพื่อให้เดินไกลขึ้น โดยเดินให้เร็วขึ้นกว่าปกติ และเพิ่มระยะทางการเดินขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน หากมีเวลาอาจไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ นอกจากได้ออกกำลังกายแล้ว ยังได้รับอากาศบริสุทธิ์ด้วย วิธีนี้เหมาะสำหรับคนทำงานที่ต้องนั่งโต๊ะทั้งวันจะช่วยให้ร่างกายได้เคลื่อนไหวและออกแรงบ้าง
กะพริบตาทุก 15 นาที เมื่ออยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ กะพริบตาเพิ่มขึ้น 1-2 ครั้งทุก 15 นาที และเมื่อเลิกใช้คอมพิวเตอร์ให้กระพริบตาถี่ๆ เพื่อให้แก้วตาสะอาดและมีน้ำหล่อเลี้ยงมากขึ้น โดยเฉพาะคนที่ใส่แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์ยิ่งจำเป็นเพราะจะช่วยให้ตาไม่แห้งเกินไป
ล้างมือ 1 นาที ก่อนเข้าห้องน้ำ มีงานวิจัยพบว่าคนเข้าห้องน้ำโดยไม่ล้างมือมีโอกาสเป็นมะเร็งปากมดลูกมากว่าคนที่ล้างมือก่อนเข้าห้องน้ำ แม้ยังไม่ได้ข้อสรุปชัดเจน แต่การล้างมือก่อนเข้าห้องน้ำก็ช่วยให้มือคุณสะอาดจากเชื้อโรคหากต้องสัมผัสกับจุดซ่อนเร้นและไม่ก่อโรคให้ตัวเองแบบไม่ตั้งใจ ที่สำคัญออกจากห้องน้ำแล้วอย่าลืมล้างมืออีกครั้ง
หยุดกิน 5 นาที ก่อนอิ่มจริง ทุกครั้งเวลากินอาหารมื้อหลัก ให้หยุดกินก่อนอิ่มจริง 5 นาที และควรกินอาหารแค่ "เกือบอิ่ม" เท่านั้น กระเพาะอาหารจะได้ไม่ทำงานหนักเกินไป

รักษาดวงตาเมื่อต้องอยู่หน้าคอม

1. หมั่นกระพริบตาให้บ่อยขึ้นอาการตาแห้งเกิดจากเมื่อเรามีสมาธิขณะทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ อัตราการกระพริบตาจะลดลงจาก 20-22ครั้ง ต่อนาที เหลือเพียง 6-8 ครั้ง ต่อนาที ถ้าไม่อยากตาแห้ง ก็ต้องกระพริบตาบ่อยขึ้น
2. จัดวางคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม ปรับความสูงของจอให้เหมาะสม โดยระยะห่างระหว่างจอภาพกับตัวเรา ควรอยู่ระหว่าง 20-28 นิ้ว หรือประมาณ 1 ช่วงแขน จุดศูนย์กลางของคอมพิวเตอร์ควรอยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 4-9 นิ้ว ไม่ควรอยู่สูงหรือต่ำกว่านี้มากนัก และควรจะตั้งตรงหน้า ตำแหน่งการวางคอมพิวเตอร์ควรจะให้หน้าต่างอยู่ด้านข้างของโต๊ะ เพื่อป้องกันไม่ให้แสงตกสะท้อนหน้าจอ
3. ปรับตัวอักษรให้ใหญ่ขึ้น .
4. เลือกแว่นที่ใช้กับคอมพิวเตอร์ ควรใช้เลนส์สีชมพูอ่อน จะช่วยให้สบายตาขึ้นภายใต้แสงจากหลอดไฟฟ้าฟลูออเรสเซนต์ สำหรับคนที่ใส่แว่นควรปรึกษาจักษุแพทย์

ดื่มชาอย่าใส่นม รักษาคุณค่าต่อหัวใจ

เอเจนซี - นักวิจัยเมืองเบียร์ชี้การเติมนม จะทำให้คุณประโยชน์ในการลดความเสี่ยงโรคหัวใจจากการดื่มชาขาดหายไป
งานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า ชาช่วยทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น และทำให้ เส้นเลือดใหญ่ขยาย อย่างไรก็ดี นักวิจัยจากโรงพยาบาลคาริตของมหาวิทยาลัยเบอร์ลิน เยอรมนี พบว่านมทำให้ประโยชน์ของชาในการปกป้องโรคหัวใจหมดไป
ชาเป็นเครื่องดื่มที่มีการบริโภคมากที่สุดทั่วโลกรองจากน้ำ ดังนั้น ประโยชน์ของชาจึงมีความสำคัญในแง่สาธารณสุข กระนั้น จนถึงขณะนี้กลับไม่มีใครรู้ว่า การเติมนมลงไปในชาจะให้ผลอย่างไร
ดร.เวเรนา สแตงล์ ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจของโรงพยาบาลคาริต และทีมนักวิจัยพบว่า โปรตีน casein ในนมทำให้ปริมาณสาร catechin ที่มีฤทธิ์ปกป้องโรคหัวใจลดลง
นักวิจัยทีมนี้เชื่อว่า ผลการค้นพบซึ่งตีพิมพ์อยู่ในวารสารยูโรเปียน ฮาร์ต เจอร์นัล สามารถอธิบายได้ว่า เหตุใดประเทศอย่างอังกฤษที่ประชาชนนิยมดื่มชาใส่นม จึงไม่มีสถิติว่าการดื่มชาช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดหัวใจ
นักวิจัยเปรียบเทียบผลต่อสุขภาพจากการดื่มน้ำอุ่น ชาแบบเติมนมและไม่เติมนมกับผู้หญิงสุขภาพดี 16 คน โดยใช้อุลตราซาวด์ดูเส้นเลือดใหญ่บริเวณข้อมือก่อนและหลังดื่มชา 2 ชั่วโมง
สิ่งที่พบคือ ชาดำทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับการดื่มน้ำอุ่น แต่เมื่อเติมนมลงไป คุณประโยชน์นั้นจะหายไปทันที
การทดสอบกับหนูได้ผลลัพธ์แบบเดียวกัน กล่าวคือการกินชาดำ กระตุ้นให้ร่างกายของหนูผลิตสารไนตริกออกไซด์ที่ช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว แต่เมื่อเติมนมลงไปในชา ปรากฏว่าไม่มีปฏิกิริยาดังกล่าวเกิดขึ้น
นอกจากนั้น ยังเป็นที่รู้กันว่าชามีฤทธิ์ต่อต้านโรคมะเร็ง การศึกษานี้จึงอาจมีนัยต่อเรื่องนี้ด้วยเช่น
"การที่นมทำให้กิจกรรมชีวภาพของสารประกอบในชาเกิดการเปลี่ยนแปลง จึงมีแนวโน้มว่า ผลในการต่อต้านเนื้อร้ายของชาอาจมีปฏิกิริยากับนมเช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงควรศึกษาต่อไปเพื่อหาความเชื่อมโยงระหว่างการดื่มชากับการต่อต้านมะเร็งว่า การเติมนมส่งผลแบบเดียวกับกรณีนี้ด้วยหรือไม่" ดร.สแตงล์ทิ้งท้าย