At about 16:16 pm local time, reported that John Nichols, age 17 years daughter of Mr. Eric G. John, Ambassador of the United States. In Thailand to fall from the apartment in midtown New York on Friday morning with her condition was found unconscious at 4:14 pm on the third floor awning Herald Towers building, which found her dead. Police said the falls should fall as accident Before the accident she had witnessed the party at Level 25 in the party states that Nicole off her shoes before climbing out the window to the outside. And while the officers found her body. I see a box near the expectations that you want to go out shooting.
วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553
ทันข่าว
At about 16:16 pm local time, reported that John Nichols, age 17 years daughter of Mr. Eric G. John, Ambassador of the United States. In Thailand to fall from the apartment in midtown New York on Friday morning with her condition was found unconscious at 4:14 pm on the third floor awning Herald Towers building, which found her dead. Police said the falls should fall as accident Before the accident she had witnessed the party at Level 25 in the party states that Nicole off her shoes before climbing out the window to the outside. And while the officers found her body. I see a box near the expectations that you want to go out shooting.
จากการสำรวจความเห็นของประชาชน จำนวน 366,903 คน ปรากฏว่าประชาชนเห็นด้วยกับการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ ร้อยละ 98.83 หากมีการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ จะมีประชากรประมาณ 399,233 คน ประกอบด้วย 8 อำเภอ ส่วนจังหวัดหนองคาย จะประกอบด้วย 9 อำเภอ ประชากร 506,343 คน
สภาพทั่วไปบึงกาฬ เป็นอำเภอที่มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง มีน้ำตก มีภูเขา เป็นอำเภอที่มีเขตพื้นที่ติดต่อกับแม่น้ำโขง และแขวงบริคำไชย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
ผลการพิจารณา เมื่อปี พ.ศ. 2537 กระทรวงมหาดไทย ได้แจ้งผลการพิจารณาว่ายังไม่มีแผนที่จะยกฐานะอำเภอบึงกาฬขึ้นเป็นจังหวัด เพราะการจัดตั้งจังหวัดใหม่เป็นการเพิ่มภาระด้านงบประมาณ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มกำลังคนภาครัฐซึ่งขัดมติคณะรัฐมนตรี
ต่อมาในปี พ.ศ. 2553 กระทรวงมหาดไทย ได้นำเรื่องการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อเสนอเป็นร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. ...
ต่อมาในวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553 คณะรัฐมนตรีก็มีมติให้ทำการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬขึ้นซึ่งมีผลนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป จึงนับได้ว่าขณะนี้จังหวัดบึงกาฬได้แยกตัวออกจากจังหวัดหนองคายเป็นจังหวัดที่ 77 ในราชอาณาจักรไทย
อำเภอเมืองบึงกาฬ
เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดบึงกาฬ มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง มีน้ำตก มีภูเขา เป็นอำเภอที่มีเขตพื้นที่ติดกับแม่น้ำโขง และอีกฝั่งตรงข้ามแม่น้ำโขงจะเป็นประเทศเพื่อนบ้าน (ลาว) มีการคมนาคมสะดวก
ประวัติ เดิมอำเภอบึงกาฬมีชื่อเดิมว่า ไชยบุรีซึ่งขึ้นกับจังหวัดนครพนม จนกระทั่งปี พ.ศ. 2460 ได้ถูกโอนย้ายให้ขึ้นต่อจังหวัดหนองคาย และถูกเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น บึงกาฬ ในปี พ.ศ. 2482
ต่อมา ในปี พ.ศ. 2537 ได้มีการร้องขอให้จัดตั้งเป็นจังหวัดบึงกาฬ ตามข้อเสนอของนายสุเมธ พรมพันห่าว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคเสรีธรรม จังหวัดหนองคาย โดยแยกพื้นที่อำเภอบึงกาฬ อำเภอปากคาด อำเภอโซ่พิสัย อำเภอพรเจริญ อำเภอเซกา อำเภอบึงโขงหลง อำเภอศรีวิไล และอำเภอบุ่งคล้า ออกจากจังหวัดหนองคาย แต่กระทรวงมหาดไทย ยังไม่มีแผนที่จะยกฐานะอำเภอบึงกาฬขึ้นเป็นจังหวัด เพราะการจัดตั้งจังหวัดใหม่เป็นการเพิ่มภาระด้านงบประมาณ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มกำลังคนภาครัฐซึ่งขัดมติคณะรัฐมนตรี
จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2553 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร นายเทวฤทธิ์ นิกรเทศ ส.ส.ส่วน พรรคกิจสังคมได้ตั้งกระทู้ถามสดต่อนายกรัฐมนตรี เรื่องการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ และทางกระทรวงมหาดไทยเห็นด้วย กำลังอยู่ในกระบวนการนำเข้าเสนอต่อที่ประชุม ครม. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนส่งเรื่องเข้ามาสู่สภาผู้แทนราษฎร เพื่อเสนอเป็นกฎหมายพ.ร.บ.จัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ ต่อไป
ต่อมาในวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553 คณะรัฐมนตรีก็มีมติให้ทำการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬขึ้นซึ่งมีผลนับตั้งแต่นี้ เป็นต้นไป จึงทำให้อำเภอบึงกาฬ ได้รับการยกฐานะเป็นอำเภอเมืองบึงกาฬ
นายอนุชา โมกขะเวส อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เปิดเผยว่า การขับรถในช่วงฤดูฝนผู้ขับขี่ต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะในช่วงฝนตกใหม่ ๆ น้ำฝนจะผสมกับขี้ฝุ่นกลายเป็นดินโคลนบาง ๆ ฉาบผิวถนน ทำให้ถนนลื่นกว่าปกติ โดยเฉพาะถนนลูกรังและทางดินเมื่อเกิดฝนตกหนักจะกลายสภาพเป็นแอ่งน้ำ หรือบ่อโคลนที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เพื่อความปลอดภัย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ขอแนะเทคนิคการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในการขับรถช่วงฝนตก ดังนี้
กรณีรถเหินน้ำ ซึ่งเกิดจากการขับรถด้วยความเร็วสูงผ่านบริเวณที่มีน้ำท่วมขัง หรือแอ่งน้ำ เพื่อความปลอดภัยผู้ขับขี่ควรจับพวงมาลัยให้มั่น ลดความเร็วรถก่อนถึงแอ่งน้ำจะช่วยลดแรงกระแทก ห้ามเหยียบเบรกในขณะที่ขับผ่านแอ่งน้ำ เพราะจะทำให้ล้อล็อคและรถเสียการทรงตัว จนเกิดอาการหมุนหรือปัดอย่างรวดเร็ว ให้แก้ไขโดยค่อย ๆ ถอนคันเร่งรอจนรถสามารถทรงตัวได้ดี จึงค่อยเหยียบเบรกเพื่อหยุดรถ
1. ผ้าม่านพลาสติก
มีคำยืนยันจากนักจุลชีววิทยาแล้วค่ะว่า คราบสีดำที่เกาะอยู่กับผ้าม่านพลาสติกในห้องน้ำนั้น ก็คือแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ซึ่งสิ่งที่จะช่วยทำให้แบคทีเรียชนิดนี้เติบโตได้ดีก็คือ ละอองจากการเรอ จาม และไอของคนค่ะ
Safety Tip ควรถอดผ้าม่านพลาสติกไปซักอาทิตย์ละครั้งหรืออย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง
2. ฟองน้ำถูตัว
ฟองน้ำที่ใช้ถูตัวที่เป็นสิ่งชำระความสกปรกตามซอกต่าง ๆ ของร่างกาย แถมยังต้องเปียกชื้นอยู่เกือบตลอดเวลา จึงเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคเป็นอย่างดี
Safety Tip คุณแม่ควรเลือกฟองน้ำถูตัวที่ไม่หนามาก ซักฟองน้ำถูตัวด้วยสบู่และน้ำสะอาดทุกครั้งหลังใช้ และควรแขวนตากให้แห้งด้วย
หากบอกว่าแปรงสีฟันเป็นอุปกรณ์ที่สะอาด และเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคน้อยที่สุด ทันตแพทย์ส่วนใหญ่คงจะไม่เห็นด้วยแบคทีเรียสามารถเติบโตในแปรงสีฟัน ซึ่งมีแหล่งอาหารและน้ำที่เพียงพอสำหรับการเติบโต แถมยังตั้งอยู่ในห้องที่มีเชื้อโรคมากที่สุด นั่นคือห้องน้ำ อีกต่างหากนักวิจัยพบว่า แบคทีเรียสเต็ปโตคอคคัส สเต็ปฟีโลคอคคัส อินฟลูซ่า และเฮิร์ปซิมเพล็กซ์ 1 รวมทั้งเชื้อโรคอื่นๆ สามารถมีชีวิตอยู่ได้ในแปรงสีฟัน แม้ทันตแพทย์ส่วนใหญ่แนะนำให้เปลี่ยนแปรงสีฟันอย่างน้อยทุกๆ 3-4 เดือน แต่จุลชีพเล็กๆ นี้ สามารถมีชีวิตอยู่ได้นานกว่านั้น โดยแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อโรค สามารถแพร่จากแปรงสีฟันอันหนึ่งไปสู่อีกอันหนึ่งได้ง่าย และการใช้แปรงสีฟันร่วมกับคนอื่นก็ทำให้เกิดการติดเชื้อระหว่างผู้ใช้ได้อย่างไรก็ตาม เพราะแบคทีเรียนั้นชอบเติบโตในที่ที่อบอุ่น มืด และชื้น ดังนั้น ทันตแพทย์จึงแนะนำให้วางแปรงสีฟันไว้ใกล้หน้าต่างห้องน้ำ“การใช้แปรงสีฟันไฟฟ้า ทำให้เชื้อโรคทำลายเหงือกของเราได้มากขึ้น ดังนั้นการใช้แปรงสีฟันแบบปกติที่มีขนาดเล็ก หัวแปรงสะอาด และเปลี่ยนทุกๆ 2 สัปดาห์ จะดีกว่า” ดร.อาร์ ทอม กลาส แห่งมหาวิทยาลัยโอคลาโฮมา
วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553
เผย! ผลสำรวจมากกว่าครึ่งเคยทำแท้ง
นพ.กิตติพงศ์ แซ่เจ็ง ผู้อำนวยการกองอนามัยเจริญพันธุ์ กรมอนามัย กล่าวว่า ขณะนี้น่าเป็นห่วงวัยรุ่นที่นิยมซื้อยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินมารับประทานเองหลังมีเพศสัมพันธ์ เพราะส่วนใหญ่จะไม่ทราบวิธีใช้ที่ถูกต้อง ซึ่งอาจส่งผลกระทบกับสุขภาพ อาทิ ประจำเดือนมาไม่ปกติ กะปริบกะปรอย จนถึงขั้นท้องนอกมดลูกได้ เพราะยาดังกล่าวเหมาะสำหรับผู้ที่ถูกข่มขืนหรือถุงยางอนามัยรั่วหรือหลุดหลังมีเพศสัมพันธ์ แต่วัยรุ่นกลับใช้วิธีดังกล่าวแทนการทานยาคุมกำเนิดชนิดแผงและการใช้ถุงยางอนามัย
"การใช้ยาคุมกำเนิดดังกล่าวยังเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์มากถึง 25% เพราะต้องทานยาเม็ดแรกภายใน 72 ชั่วโมงก่อนมีเพศสัมพันธ์ แต่จะได้ผลดีต้องทานภายใน 24 ชั่วโมง และตามด้วยเม็ดที่สองภายใน 12 ชั่วโมงถัดจากทานเม็ดแรก ผลเสียที่จะเกิดขึ้นหากทานยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินเกินกว่าข้อบ่งชี้ที่ไม่ควรทานเกินเดือนละ 4 เม็ด หากเกินจะทำให้มีประจำเดือนมาไม่ปกติและอาจทำให้เกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้" นพ.กิตติพงศ์กล่าว
ศ.นพ.วรพงศ์ ภู่พงศ์ ผู้แทนสภาวิชาการคุมกำเนิดแห่งภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกประจำประเทศไทย กล่าวว่า จากข้อมูลการวิจัยของสภาวิชาการฯ พบว่าผู้หญิงกว่า 123 ล้านคนทั่วโลกมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้คุมกำเนิด และกว่า 85% หญิงตั้งครรภ์ภายในปีแรก แต่พบว่า มีการใช้คุมกำเนิดเพียง 7% ของหญิงทั่วโลกเท่านั้น ในจำนวนนี้ กว่า 46 ล้านคนทั่วโลกตัดสินใจทำแท้ง และในจำนวนนี้ 27 ล้านคนอยู่ในทวีปเอเชีย ซึ่งเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัยทำให้หญิงทั่วโลกเสียชีวิตปีละ 7.8 หมื่นราย
"การทำแท้งทรมานมาก...."
คุยกันด้วยเหตุผลน่ะครับ อย่าเพิ่งไปด่าผู้หญิงที่ไปทำแท้งฝ่ายเดียว ถ้าคุณไปนั่งคุยกับผู้หญิงที่เคยทำแท้ง คุณอาจเห็นใจเขามากกว่าที่คิดน่ะครับ (ไม่เกี่ยวกับพวกรักสนุก ชอบเที่ยวน่ะครับ) ผมคิดว่า ผู้ชายที่ทิ้งผู้หญิงที่ท้องให้แก้ปัญหาฝ่ายเดียว จนบีบบังคับให้ผู้หญิงไปทำแท้ง มันก็ไม่ต่างการที่ผู้หญิงไปทำแท้งน่ะครับ ถ้าฝ่ายชายมีความรับผิดชอบ หรือยอมรับลูกในท้องของผู้หญิง ผมคิดว่า ปัญหาการทำแท้งจะลดลงไปเยอะน่ะครับ ส่วนใหญ่ที่ผู้หญิงทำแท้ง ก็เพราะ ผู้ชายมันไม่รับเป็นพ่อเด็ก ไม่ยอมแต่งด้วยนี่แหล่ะครับ ผู้หญิงส่วนใหญ่ถ้าท้องเขากล้าที่จะรับปัญหาน่ะครับ แต่เมื่อใดที่ไม่มีฝ่ายชายมาช่วยแบกปัญหา เขาก็จะรับกับเรื่องตรงนี้ไม่ได้เหมือนกัน ก่อนที่ผู้ชายอย่างเราๆ จะด่าผู้หญิง ที่มีปัญหา ต้องมองย้อนกลับมาดูที่ตัวเราเองก่อนน่ะครับ ว่าเรารับผิดชอบต่อสิ่งที่เราทำไปได้ดีพอหรือยังน่ะครับ การมีเซกซ์ไม่ผิดน่ะครับ แต่เซกซ์ในวัยเรียน คุณต้องถามตัวเองก่อนว่า คุณพร้อมที่จะรับหรือบังเอิญที่จะรับสิ่งที่จะตามมาได้หรือไม่ ถ้าไม่พร้อมจะรับ คุณก็ต้องเซฟตัวเองด้วยการใส่ถุงยางน่ะครับ เรื่องเท่านี้ ฝ่ายชายที่มีเซกซ์กับแฟนประจำ ก็หัดพกถุงยางไว้ ปัญหาก็จะไม่เกิด อย่าเอาอารมณ์อยากเสียวแค่แว้ปเดียวมาเป็นตัวให้เกิดปัญหาตามมาน่ะครับ ส่วนผู้หญิงที่คิดจะทำแท้งตอนนี้น่ะครับ ผมแนะนำให้ลองไปคุยกับคนที่มีประสบการณ์ท้องในวัยเรียน พูดง่ายๆ ท้องก่อนแต่งนั่นแหล่ะครับ บางคนเขาก็เคยคิดหาทางออกโง่ๆแบบนี้มาแล้ว แล้วเขาก็เปลี่ยนใจที่จะไม่ทำแท้งน่ะครับ ลองถามความรู้สึกที่เขามีลูกดูน่ะครับว่าเขาคิดยังไง และลองถามคนที่เคยทำแท้งน่ะครับว่า เขาคิดยังไง ผมว่าคุณต้องได้คำตอบที่คุณต้องการแน่ๆครับ
ทำแท้ง ถ้ารู้จริง จะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องเล็ก by-หมอแมว-
เรื่องนี้ผมตั้งท่าจะเขียนมาหลายวันมากแล้วล่ะครับ แต่ว่าเนื่องจากมันเป็ฯเรื่องใหญ่มากที่ไม่รู้จะเขียนในแง่มุมไหนดี เลยทำให้ตั้งท่าอยู่นาน วันนี้ตั้งใจแล้วว่าจะเขียนซะทีเอาเป็นว่าเขียนได้ไม่เต็มก็มีตอนสองแล้วกันที่ตั้งใจจะเขียนก็เพราะว่าเมื่อก่อนเคยไม่ชอบคนที่ไปทำแท้งมาอย่างมาก เนื่องจากคิดว่าเป็นเรื่องไม่ดีบาปหนักหนามาก และเคยคิดว่าเป็นเรื่องวัยรุ่นใจแตก...........ความเห็นของผมเปลี่ยนไปเมื่อคนไข้คนแรกเรื่องทำแท้งของผมสมัยเรียนนั่นเอง.... เธอเป็นแม่ลูก4อายุ40ปี.. ลูกก็เป็นลูกจากพ่อคนเดิม สาเหตุที่ทำให้เธอไปทำแท้งคือไม่มีจะเลี้ยง วิธีทำแท้งที่ใช้กันในสมัยนี้ตามสถานที่ทำแท้งเถื่อนมีหลายวิธี(ผมขอไม่เรียกว่าคลีนิกแล้วกัน มันแสลงหู)1. ใส่อุปกรณ์หรือฉีดสารเข้าทางช่องคลอด2. เหน็บยา3. กินยา4. เหยียบเตะต่อย(อันนี้ที่จริงมักทำกันเองที่บ้าน)1. ใส่อุปกรณ์หรือฉีดสารเข้าทางช่องคลอดเป็นวิธียอดนิยมที่ทำกันมานาน และก็เป็นวิธีที่"เลียนแบบ"แพทย์ตัวจริงมาใช้"ขูดมดลูก" อุปกรณ์ที่ใช้คือตัวขูดเนื้อยาวราวๆฟุตนึง ตรงกลางเป็นก้าน ตรงปลายจะมีลักษณะคล้ายที่ขูดมะพร้าววิธีทำคือเมื่อผู้หญิงมาถึง นั่งบนขาหยั่ง ผู้ทำแท้งจะเปิดแหวกช่องคลอดด้วยเครื่องถ่าง แล้วใช้เครื่องมือจิกปากมดลูกไว้ จากนั้นเอาที่ขูด แหย่เข้าไปขูดในมดลูกถ้าคนทำแท้งมีความรับผิดชอบต่อค่าจ้างที่ได้ เขาจะขูดตัวอ่อนออกมา แล้วก็ขูดเนื้อในมดลูกไปด้วยถ้าไม่รับผิดชอบ ก็ขูดแค่พอเห็นเนื้อๆแล้วก็พอให้กลับได้ระหว่างที่ทำอาจเจ็บได้บ้าง ขึ้นกับราคาที่จ่ายไป ถ้ามากหน่อยอาจมียาแก้ปวดอย่างแรงให้กิน (ซึ่งก็เลยเห็นเป็นภาพชินตาที่พอตำรวจบุกแล้วพวกเธอมักหนีไม่ทันกัน) แต่บางแห่งก็ให้แค่ยาแก้ปวดธรรมดามากินก่อนขูดมดลูก เพราะว่าเวลาขูดก็เอาแค่ขูดน้อยๆปัญหาที่ตามมาคือ1. เนื้อในมดลูกที่เหลือ... เพราะว่าร่างกายคนเราที่เตรียมจะมีเด็ก จะมีการขยายของพื้นที่ในมดลูกโดยเพิ่มเส้นเลือดมากๆ และมีที่ให้เด็กมาเกาะมากๆ ทีนี้พอไม่มีเด็กเพราะโดนขูดไปแล้ว เนื้อพวกนี้ก็จะพยายามหลุดลอกตัวออก แต่ฤทธิ์ฮอร์โมนที่ยังมีอยู่ อาจทำให้หลุดไม่ดีคนที่โชคดี ก็จะมีเลือดออกมาสักสัปดาห์-2สัปดาห์ กินยาสตรีต่างๆแล้วก็ขับน้ำคาวปลาออกไปได้พร้อมเนื้อรกเนื้อมดลูกคนที่โชคไม่ดี เนื้อเหล่านี้ไม่หลุดออก ก็จะมีเลือดไหลออกมาเรื่อยๆไม่หยุดบางคนไหลเป็นเดือนๆกว่าจะมาหาหมอบางคนไหลจนตาย(ที่จริงคงมีการทะลุมดลูกร่วม)2.1 ติดเชื้อ ตรงไปตรงมา เครื่องมือและคนทำห่วยแตก 2.2 มดลูกทะลุ .... เพราะในการขูดมดลูกที่ถูกต้อง ต้องมีการวัดขนาดและตรวจดูรูปร่างของมดลูกว่าหันไปทางทิศใดก่อนขูดเนื่องจากการขูดเป็นการทำโดยไม่เห็นด้วยตา แต่อย่าไปหวังอะไรกับคนทำแท้งเถื่อนเลย ส่วนใหญ่มักขูดไปเลย และมีไม่น้อยที่ทะลุ โชคดีก็ปิดได้เอง โชคร้ายเผลอๆติดเชื้อในท้องแบบเวลาไส้ติ่งแตกหรือกระเพาะทะลุก็มีที่ร้ายไปกว่านั้น บางคนที่ผมเคยเจอการทะลุจากมดลูกเข้าช่องท้องต่อไปยังลำไส้ใหญ่... เมื่อหายแล้วก็กลายเป็นว่ามีช่องทางใหม่ ทำให้อุจจาระไหลออกมาทางช่องคลอดได้ (ซึ่งผ่าซ่อมยาก)2.3 ขูดมั่วไม่โดนเด็ก เลือดออกแป๊บเดียวก็หยุด แต่ที่ไหนได้ท้องโตเอาโตเอาจนคลอดออกมาเป็นตัว2.4. สุดท้ายก็ต้องไปหาหมอ(ตัวจริง)เท่าที่เคยเจอมา ที่ทำแท้งเถื่อนห่วยๆบางที่ใช้วิธีขูดมั่วซั่ว พอเป็นพิธีแล้วบอกว่าถ้าเลือดไม่หยุดให้ไปหาหมอ.. ส่วนใหญ่มันแค่เอาเครื่องมือสอดแล้วขูดครั้งสองครั้ง เอาเนื้อชิ้นโตๆมาชิ้นเดียวแล้วปล่อยภาระให้เป็นของแพทย์ตัวจริงส่วนใหญ่มักจะมีอาการมาด้วยเรื่องเลือดไหลออกทางช่องคลอด พร้อมกับเรื่องเล่าแปลกๆถ้าเป็นสิบปีก่อน ก็จะเล่าว่าเดินข้ามท้องร่องแล้วลื่นไม้กระดานฟาดกลางหว่างขาเดี๋ยวนี้ก็เป็นล้มในห้องน้ำ ขับรถเครื่องแล้วเบรกแรงๆ ตกบันไดผมจะบอกว่า ถ้าคุณไปทำแท้ง ก็บอกว่าไปทำแท้งเถอะครับ เพื่อให้ทุกอย่างง่ายขึ้น ปลอดภัยทั้งตัวคุณเองและคนที่ให้การรักษาเคยมีกรณีที่เด็กบอกว่าหกล้มในห้องน้ำแล้วเลือดออก แม่ก็ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงเห็นกับตา แต่ว่าไปๆมาๆเกิดปวดท้องไข้สูง และก็ติดเชื้อในช่องท้องจากการที่มดลูกทะลุและมีการติดเชื้อ..... ซึ่งการติดเชื้อระดับนี้ เวลาคุยกับญาติ เราไม่ได้คุยว่าจะกลับบ้านได้เมื่อไหร่นะครับ แต่เราคุยว่าโอกาสตายมีมากเพียงใดถ้ารู้ว่าไปทำแท้งมาและเลือดออกไม่หยุด ส่วนมากก็จะขูดต่อให้เสร็จสรรพเพื่อรักษา และจะได้ให้ยาทั้งหลาย ทั้งยาฆ่าเชื้อและวัคซีนบาดทะยักการทำก็คล้ายกับที่เล่าไปแล้ว คือก็จะใช้เครื่องมือดันเปิดทาง แต่จะมีเครื่องวัดขนาดภายในมดลูก และมีการตรวจทิศทางของมดลูกเพื่อจะได้ใส่เครื่องมือได้ถูก จากนั้นก็จะค่อยๆขูดโดยใช้วิธีที่ถูกต้องเพื่อให้ได้เนื้อออกมาให้ครบถ้วนที่สุดเพื่อเลือดจะได้หยุดไหลนอกจากนี้ยังมีวิธีทำแท้งโดยใช้การฉีดยาหรือสารบางอย่างเข้าไป เช่นฉีดน้ำเกลือเข้าไปรอบๆทารกให้ทารกขาดน้ำตาย หรือฉีดสารพิษให้ทารกแต่การทำแท้งวิธีนี้เสี่ยงต่อแม่มาก เพราะหลายครั้งผู้ทำแท้งก็ฉีดมั่วจนตายทั้งแม่ทั้งลูกปัจจุบันก็เลยเจอลดลง เหน็บยาวิธียอดฮิตที่มีที่มาจากการที่พบว่ายารักษาโรคกระเพาะตัวนึงเมื่อกินเข้าไปทำให้แท้งได้บ่อย และต่อมาก็พบว่ายานี้ออกฤทธิ์ที่มดลูกได้ต่อมาก็มีคนเอามาใช้เพื่อการทำแท้ง และต่อมาอีกก็นำมาใช้ในการเร่งคลอดให้ปากมดลูกเปิดได้เร็วขึ้นปัญหาที่ทำให้หมอไม่ชอบใช้ยานี้ทำแท้งอย่างถูกกฎหมาย มีดังนี้คือท้องอ่อนๆ หมอชอบทำแท้งให้เพราะอันตรายน้อยกว่าและเด็กยังเล็ก แต่ยานี้ใช้ไม่ค่อยได้ผลมดลูกไม่หดปากมดลูกไม่เปิดท้องมากๆ หมอไม่ชอบทำแท้ง แต่ยาดันใช้ได้ผลดีขึ้น เด็กไหลดีนักแต่หมอจะฝันร้าย เพราะว่าเด็กที่หลุดออกมาจะยังมีชีวิต ดิ้นได้ และจะดิ้นอย่างสุดฤทธิ์ก่อนตาย บางคนดิ้นเป็นชั่วโมงยาตัวนี้เป็นที่นิยมในหมู่ผู้รับทำแท้งและคนขายยานอกคอก เนื่องจากขายในราคาเม็ดละ700-1400บาท เวลาใช้มักขายทีละสองเม็ดโดยที่ต้นทุนไม่ถึง10บาท กำไรเหนาะๆ และไม่ต้องเสี่ยงถูกจับเท่าเปิดร้านหลายครั้งที่มีคนมาด้วยเรื่องตกเลือด พอตรวจไปก็เจอว่ามียาที่ยังละลายไม่หมดเหน็บอยู่ (แต่เจ้าตัวก็ยังปฏิเสธว่านั่นน่ะยาเหน็บแก้เชื้อรา..)ข้อเสียนอกจากเด็กตายแบบดิ้นๆ ยังมีอีกคือ Amniotic pulmonary embolismซึ่งเป็นภาวะอันเกิดจากการที่มดลูกบีบรัดแรงแล้วทำให้น้ำคร่ำไหลเข้ากระแสเลือด แล้วไปอุดตันที่ปอดของแม่จนแม่ขาดอากาศตายซึ่งภาวะนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้อยู่แล้วแม้คลอดปกติ และช่วยเหลือยากมากแม้อยู่ในมือหมอ ข่าวดังๆที่หาว่าหมอทำคลอดไม่ดีแล้วแม่ตาย ก็มีส่วนมาจากอันนี้เหมือนกัน นี่ขนาดบางคนอยู่ในโรงเรียนแพทย์และมีหมอสิบกว่าคนยื้อชีวิตยังเอาไม่อยู่ถ้าเกิดใครไปเหน็บยาตัวนี้เข้าแล้วเกิดAmniotic pulmonary embolismขึ้นล่ะ รอดยากครับ ก็คงตายเงียบๆในบ้าน(แต่ก็ไม่ได้เกิดบ่อย)3. กินยา วิธีสุดคลาสสิก เห็นในหนังไทยที่คุณหญิงย่าบังคับให้นางอิจฉาเอายาขับเลือดกรอกปากนางเอก กรอกเสร็จแล้วจะเกิดอาการปวดท้องแล้วก็มีเลือดไหลออกทางหว่างขาผมได้เจอเด็กคนนึง กินยาสตรีและยาขับเลือดลมหลายขนานในท้องตลาดหลังจากที่รู้ว่าท้อง... กินอยู่5เดือน จนค่ายารวมๆแล้วแพงกว่าค่าทำแท้ง เธอก็เลยเปลี่ยนไปซื้อยามาเหน็บ เด็กจึงออก.... สรุปแล้ว ผมยังไม่เคยเห็นยาขับเลือดที่ใช้ได้ผล มีแต่คนโน้นคนนี้มาบอกเท่านั้น4. เหยียบ เตะ เข่า ศอก นวดวิธีที่อ้างว่าได้ผล.... คงได้ผลกันบ้างแลกกับการเจ็บตัวพอสมควรของแม่เด็กเป็นวิธีที่ผมไม่เคยได้ประสบหรือเจอใครที่เอาตัวเข้าแลกขนาดนั้น... เห็นแต่ในหนัง ที่กลิ้งตกบันไดแล้วเลือดออกแต่เรื่องที่ยืนยันว่าเข่าและเท้าเอาเด็กออกได้ก็มี เป็ฯเรื่องของครอบครัวนึง แม่ตั้งท้องแฝด ตั้งท้องได้7-8เดือน พ่อก็ทะเลาะกับแม่แล้วเตะต่อยท้อง....... จนแม่ปวดมาก และเมื่อทนไม่ไหวก็ไปโรงพยาบาลชุมชนขนาด30เตียง แล้วเด็กก็เริ่มคลอดแบบมันทีที่ไปถึงโดยที่หมอยังไม่ทันตั้งตัว เด็กออกมาได้1คน แต่อีกคนคาอยู่ออกยาก และในที่สุดเด็กออกมาก็แย่ทั้งคู่เนื่องจากคลอดก่อนกำหนดและคนน้องก็แย่เพราะขาดอากาศเรื่องนี้ พ่อเด็กเอาเรื่องหมอ หาว่าหมอฝีมือแย่ทำให้ลูกเขาแย่หายใจไม่ได้... เอาเรื่องไปลงหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น... จนที่สุดหมอต้องจ่ายเงินให้ไปหลายแสนทั้งที่ไม่ผิดเรื่องนี้บอกให้รู้ว่า การกระแทกแรงๆเหล่านี้ หากเป็นอายุครรภ์น้อยๆ มักแท้งยากหน่อย เพราะว่าตัวอ่อนมีเกราะหนาเมื่อเทียบกับขนาดตัวอ่อน แต่พอเป็ฯอายุมากๆ ก็จะโดนแรงกระแทกโดยตรงได้มากโอกาสที่เด็กจะแย่ก็มีมาก และเด็กที่คลอดก่อนกำหนดจากมือจากเท้าแบบนี้ก็มีได้ และตายจากการหายใจไม่ออก(ปอดยังเจริญไม่พอ)วันนี้คุยเรื่องวิธีการทำแท้งก่อนนะครับ มาต่อด้วยเรื่องผลเสียผลข้างเคียงและผลแทรกซ้อนจากการทำแท้ง
เอาล่ะครับ เรามาต่อจากกระทู้ที่แล้วกันเถอะ เรามาพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น หลังจากเด็กได้จากไปแล้วกันผลสืบเนื่องที่ตามมาหลังการทำแท้งเถื่อนแบบใช้อุปกรณ์นอกจากเรื่องที่จะเกิดขึ้นในระยะใกล้ๆที่ได้เล่าไปในกระทู้ที่แล้ว สิ่งที่อาจเกิดตามมาได้และเป็นปัญหาสำคัญที่ตามไปตลอดคือ ปัญหาการมีบุตรยากมดลูกประกอบไปด้วยส่วนต่างๆดังนี้คือ ปากมดลูก ตัวมดลูก ปีกมดลูกเวลาใส่อุปกรณ์จะโดนปากมดลูกและปีกมดลูก หากทำรุนแรงก็อาจเกิดการฉีกขาด เนื่องจากว่าในระยะตั้งครรภ์นั้นส่วนเหล่านี้จะนุ่มกว่าปกติเมื่อฉีกขาด ร่างกายของมนุษย์ก็จะมีการซ่อมแซมตนเองการฉีกขาดที่ปากมดลูก จะทำให้เกิดแผลเป็นที่ปากมดลูก หากต่อไปมีการตั้งครรภ์อีกครั้ง ก็มีโอกาสที่จะเกิดการแท้งได้ในช่วงเดือนที่3-4จากการที่ปากมดลูกไม่แข็งแรงพอหรือเมื่อคลอดในครั้งต่อไปทางช่องคลอด ก็อาจเกิดเลือดออกมากผิดปกติการฉีกขาดมากๆในโพรงมดลูก เมื่อร่างกายซ่อมแซมก็จะเกิดการเชื่อมติดกันของแผล โพรงมดลูกอาจเชื่อมติดกัน จนทำให้ต่อไปตั้งครรภ์ไม่ได้เพราะไม่มีช่องให้เด็กอยู่การติดเชื้อในมดลูกหลังการทำ อาจลามไปสู่ปีกทั้งสองข้าง และเมื่อการติดเชื้อผ่านไป ก็อาจทำให้ท่อทั้งสองข้างตีบหรือตัน ก็มีลูกยากผลสืบเนื่องจากการใช้ยายาทุกชนิดในค่ายยาตะวันตก มีลักษณะคือ มีทั้งข้อดีและข้อเสียให้เห็นๆผลข้างเคียงระยะสั้นๆที่มีของยาพวกนี้คือ คลื่นไส้อาเจียนไประยะหนึ่ง ซึ่งผลสืบเนื่องที่ตามาก็คือ ทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีและแย่ติดตัวไปนาน เนื่องจากทำให้กลายเป็นช่วงเวลาอันเลวร้ายมากขึ้นผลสืบเนื่องระยะยาวที่น่ากลัวก็มีพวกตับอักเสบ ที่อาจเกิดขึ้นได้ฟังเท่านี้อาจรู้สึกหดหู่ใช่ไหมครับแต่อย่าพึ่งหดหู่เลย เพราะว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคนที่ทำแท้ง ดูเหมือนธรรมชาติยังให้โอกาสคนได้กลับตัว เพราะผลที่เกิดขึ้นพวกนี้มักเกิดในคนที่ทำหลายๆครั้งมากกว่าคนที่ทำครั้งเดียว และในคนที่เป็น หลายๆอย่างก็พอมีทางแก้ไขหากตั้งใจจริงประโยคข้างต้นนี้เคยมีอาจารย์บอกผมไว้อย่างนั้น ทำให้พอผมมองดูใหม่ด้วยมุมมองใหม่ เลิกความคิดตัดสินคนอื่นไปเลยทุกปัญหามีทางออกผมไม่ได้เป็ฯจิตแพทย์ และคงไม่อาจหาญให้คำแนะนำทางจิตวิทยาได้ แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่รู้หลังจากทำงานก็คือ ทุกปัญหามีทางออกครับKeywordคืออย่างน้อยที่สุด เราทุกคนต้องมีคนที่เป็นห่วงเราคนใกล้ตัวที่สุดคือพ่อแม่เด็กคนที่มาหาผมคนล่าสุดในเรื่องทำแท้ง มีแม่มาด้วย...ในกรณีการทำแท้งเป็นปกติที่ผมจะไม่พูดคุยกับเด็กในขณะที่อยู่กับแม่ และจะไม่คุยกับแม่ให้เด็กเห็น สิ่งหนึ่งที่จับได้คือ เด็กกลัวแม่ไม่รัก เด็กกลัวแม่เกลียด เด็กเสียใจที่ทำให้แม่เสียใจและอีกด้านนึงที่จับความรู้สึกได้คือ แม่กลัวเด็กตาย กลัวลูกสาวกลัวตัวเอง(แม่)สรุปว่า กลัวอีกฝ่ายไม่สบายใจ -_-''หรือเรื่องสุดclassicที่เคยได้ยินมา เด็กมาโรงพยาบาลด้วยเรื่องแบบนี้ และครอบครัวมากันหมดพ่อ แม่ ปู่ ย่า (หรือตายาย) ผลัดมาถามหมอว่าเด็กเป็นอะไรทุกคนบอกว่าอย่าบอกใครว่าเด็กเป็นอะไร(และขอให้ทำเป็นบอกญาติๆต่อหน้าเด็กว่าไม่ได้เป็ฯอะไรมาก เลือดไหลธรรมดา)ส่วนเด็กก็ไม่อยากให้คนในครอบครัวรู้ กลัวเสียใจสรุปว่าทุกคนกลัวคนในครอบครัวเสียใจ....ก็เป็นความรักแบบครอบครัวไทยที่น่ารักดีไปอีกแบบส่วนเรื่องการป้องกัน1. ใช้ถุงยางทุกครั้ง (ผมไม่ได้ชี้โพรงให้กระรอกนะ เพราะโพรงมันวางในSeven)เพราะส่วนใหญ่ของคนที่พลาด จะไม่ได้ใช้ถุงยางและหลั่งข้างนอก โอกาสพลาดมีดังนี้คือก. เผลอหลั่งข้างในข. ไม่รู้ว่าน้ำใสๆที่หลั่งออกมาก่อนของผู้ชายน่ะ ที่จริงก็มีเชื้ออสุจิอยู่ ดังนั้นยังไม่ถึงก็ท้องได้ค. หลั่งเปื้อนข้างนอกแล้วไม่ล้าง มันก็ว่ายเข้าไปดิ2. เลิกได้ก็ดี นับวัน น่ะหน้า7หลัง7 ไม่เห็นนับถูกเลย.. นับผิดประจำ3. เอาเครื่องขายถุงยางอัตโนมัติให้ลับหูลับตาคนหน่อยในโรงพยาบาลที่ผมอยู่มีเครื่องนี้สองเครื่อง เครื่องแรกตั้งหน้าห้องน้ำ อีกเครื่องตั้งที่หน้าห้องยา(ที่มีคนตลอด)เนื่องจากคนที่มีปัญหาทำแท้งที่อายุน้อยก็มีมาก ก็ไม่แปลกที่จะไม่กล้าซื้อถุงยางในร้านสะดวกซื้อ ผมก็เคยเห็นเหมือนกันที่เด็กมัธยมที่มาฝึกงาน
เรื่องเล่าหลังทำแท้ง
ดิฉันไปทำแท้งมาเมื่อวานนี้คะ รู้สึกเจ็บไปทั้งกายและใจมากๆ คิดอยู่เสมอว่าไม่อยากเอาลูกออกเพราะยังไงคนเลวๆอย่างดิฉันก็ยังมีความรู้สึกของคนเป็นแม่อยู่บ้าง แต่เนื่องจากดิฉันยังต้องเรียนอยู่และยังเด็กมากๆไม่พร้อมแน่ๆที่จะรับภาระของผู้เป็นแม่ได้
ดิฉันจึงลองหาข้อมูลสถานที่รับทำในเวปนี้มาได้ 2 ที่คือที่....กับที่ ..... ดิฉันได้ไปที่.....ก่อนปรากฏว่าข้อมูลไม่ตรงนะคะ ดิฉันท้องได้ 2เดือนครึ่ง เค้าบอกมาว่าใช้วิธีเหน็บยาไม่มีวางยาสลบและค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 17000 บาท ต้องนอนที่รพห้ามญาติมาเฝ้าและเยี่ยมด้วย ดิฉันจึงลองไปที่.... ดู ก็ค่าทำอยู่ที่ 1950 พนักงานทุกคนใจดีมากๆคะ
ตอนที่ดิฉันเข้าไปในห้องทำแท้งจิตใจดิฉันแย่มากๆมือเย็น ตัวสั่น หูอื้อไปหมด พอคุณหมอเดินมา วูบนึงที่ดิฉันอยากหนีออกไปจากห้องนี้เหลือเกิน พอคุณหมอเริ่มลงมือดูดเอาลูกของดิฉันออกไป ดิฉันเจ็บปวดมากมันไม่ได้ปวดที่ร่างกายอย่างเดียวมันเจ็บทั้งจิตใจด้วย เพราะดิฉันคิดว่าดิฉันเจ็บแค่ไหนลูกของดิฉันก็จะเจ็บกว่าล้านเท่าดิฉันจึงยิ่งรู้สึกแย่จนเผลอสะอื้นออกมาจนคุณหมอดุเลยล่ะ ที่ดิฉันอ่านมามีคนบอกว่าเจ็บนิดเดียวเหมือนมีเมนบ้างล่ะ เจ็บแค่ไม่กี่นาทีบ้างล่ะ แต่สำหรับดิฉันมันอาจแค่ไม่กี่นาทีในความเป็นจริง แต่ในจิตใจของดิฉันนั้นมันนานมากๆ พอทำเสร้จพี่พนักงานก้ผยุงดิฉันไปที่เตียงแต่ดิฉันหน้ามืดจนเป็นลมกลางทาง พี่พนักงานจึงเอาแอมโมเนียมาให้ดม ดิฉันจึงลุกขึ้นและเดินกลับไปพักที่เตียงได้ ระหว่างนั้นดิฉันทุกข์ใจมากที่สุดในชีวิตดิฉันได้ทำไปแล้วดิฉันฆ่าลูกตัวเองไปแล้ว ดิฉันทรยศต่อคำว่า"แม่" เด็กคนนั้นอุตส่ายอมมาเกิดในตัวดิฉันที่แสนเลวได้ แต่ดิฉันกลับไปฆ่าเด็กคนนั้นตายเสียแล้ว แล้วแบบนี้ในอนาคตข้างหน้าเมื่อดิฉันพร้อมที่จะมีลูกบ้าง แล้วใครจะยอมมาเกิดกับดิฉันที่ทำร้ายลูกตัวเองได้ล่ะ ถึงก่อนที่จะไปทำแท้งดิฉันได้ไปทำสังฆทานขออโหสิกรรม และขอให้ลูกรอเมื่อดิฉันพร้อม แต่มันก็ยังรุ้สึกแย่อยู่ดี พอถึงบ้านดิฉันร้องไห้ตลอดทั้งคืน ยังไม่หยุดเลยแม้กระทั่งตอนนี้ มันเอ่อล้นมาตลอด แม้ดิฉันจะทำใจเมื่อรู้ว่าท้องและต้องทำแท้งอยู่มาแรมเดือน แต่ก้ยังรู้สึกไม่ดีมากๆในสิ่งที่ทำลงไป ดิฉันคิดทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานซ้ำไปซ้ำมาตลอด ถึงในเวลานี้เค้าจะไม่ได้อยู่ในตัวของดิฉันแล้ว แต่เค้าก้ยังอยู่ในใจดิฉันเสมอ ดิฉันรู้ตัวในสิ่งที่ทำไปมันเป็นบาปที่ไม่น่าให้อภัยที่สุด แต่นี้คือบทเรียนอันมีค่ามากที่สุดของดิฉัน มันทำให้ดิฉันเปลี่ยนเป็นคนละคนอย่างน้อยดิฉันก็เข็ดเรื่องsexไปอีกนาน และจำเรื่องเมื่อวานไปจนตาย
"ผลกรรมของการทำแท้ง"
"การแก้กรรม ในการทำแท้งที่ดีที่สุดคือ''
ทำแท้ง….กรรมมีจริงนะ
ท้องมันใช้อารมณ์กับความมันส์ แต่ทำแท้งต้องเสียเงิน เสียน้ำตาและเสียความรู้สึก แถมยังเจ็บตัวหรืออาจถึงตายได้” คิดให้ดีการจะทำอะไรลงไป กรรมมีจริงนะ เราไม่ได้สนับสนุนให้เกิดการทำแท้งขึ้น แต่เป็นการช่วยแบ่งเบากรรม และสร้างความสบายใจให้แก่คนที่พลาดพลั้งไปในชีวิต จะเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี เราไม่ได้หวังว่าจะส่งเสริมให้คนทำมากขึ้น แต่เป็นการแก้กรรมที่ถูกต้องที่ดีที่สุด เสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด และได้รับประโยชน์สูงสุด สำหรับการแก้กรรมนี้ ใช้ได้ทั้งคนที่ไปทำแท้ง คนที่สนับสนุนการทำแท้ง เช่น แฟนของผู้หญิงที่ท้อง พ่อแม่ของผู้หญิงที่ท้อง และก็เพื่อนที่พาไปทำหรือแนะนำสถานที่ไปทำแท้ง ทุกคนที่กล่าวมานี้ล้วนมีกรรมในการกระทำครั้งนี้ ทางเราขอย้ำว่า เราไม่ได้สนับสนุน ส่งเสริมให้เกิดการทำแท้ง แต่เราต้องการให้แก้กรรมโดยถูกวิธีที่สุด•การตักบาตรเป็นการสั่งสมบุญไปใช้ชาติหน้าไม่มีผลต่อการแก้กรรมในการทำแท้ง•การทำสังฆทานเป็นการใช้กรรมให้แก่เจ้ากรรมนายเวรไม่มีผลต่อการแก้กรรมทำแท้ง
การแก้กรรมในการทำแท้งที่ดีที่สุดคือ
1.ต้องตั้งจิตอธิฐานว่า ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย จะไม่ทำแท้งอีก การแก้กรรมครั้งนี้ถึงจะได้ผล
2.ต้องบริจาคร่างกาย
3.ต้องบริจาคอวัยวt
4.ต้องบริจาคเลือดอย่างน้อย 7 ครั้ง
5.ต้องบริจาคเงินเพื่อไถ่ชีวิตโค – กระบือ
6.ซื้อเครื่องมือแพทย์ บริจาคให้กับตามโรงพยาบาล
•ถ้าให้ดีที่สุดควรทำทุกอย่าง แต่ถ้าไม่มีความสามารถให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่ง รับรองว่าได้ผล 100 % แต่ต้องยึดมั่นข้อที่ 1 เป็นหลักคือ ไม่กลับไปทำแท้งอีก จึงจะได้ผล •เมื่อท่านทำวิธีแก้กรรมครั้งนี้แล้ว ถ้ากลับไปทำแท้งอีกผลกรรมจะกลับมาหาท่านหลายร้อยเท่า พันเท่า •และหลังจากที่ได้ทำบุญทุกอย่างแล้ว ท่านต้องกลับมาจุดธูป 16 ดอก เพื่อขออโหสิกรรมกับเจ้ากรรมนายเวรและเจ้าบุญนายคุณ และขอพรหลังจากอโหสิกรรมแล้ว ท่านจะสมหวังทุกประการ
วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2553
"สมุนไพรไทย"
สรรพคุณ :
ราก - แก้กลากเกลื้อน รักษาโรคมะเร็ง รักษาโรคผิวหนัง ดับพิษไข้ แก้พิษงู แก้พยาธิวงแหวนตาผิวหนัง
ทั้งต้น - รักษาโรคผิวหนัง แก้น้ำเหลืองเสีย แก้กลากเกลื้อน ผื่นคัน รักษามะเร็ง คุดทะราด ขับพยาธิตามผิวหนัง ตามบาดแผล แก้ไส้เลื่อน ไส้ลาม แก้ปัสสาวะผิดปกติ
ต้น - บำรุงร่างกาย แก้โรค 108 ประการ รักษาโรคผมร่วง
ใบ - ดับพิษไข้ แก้กลากเกลื้อน ผื่นคัน แก้โรคไขข้ออักเสบ รักษาโรคผิวหนัง รักษาโรคมะเร็ง รักษาโรคความดันโลหิตสูง แก้ผมร่วง บำรุงร่างกาย แก้โรค 108 ประการ แก้ปวดฝี แก้พิษงู ถอนพิษ แก้อักเสบ แก้โรคมุตกิต รักษาโรคพยาธิวงแหวนตามผิวหนังนอกจากนี้ยังใช้ผสมในตำรับยาร่วมกับสมุนไพรอื่นๆ รักษาโรคต่อไปนี้คือ
ราก - รักษามะเร็งเนื้องอก รักษามะเร็งปอด กระเพาะลำไส้ มะเร็งตามร่างกาย ทำให้ผมดกดำ แก้ไอเป็นเลือด อาเจียนเป็นเลือด แก้ริดสีดวงทวาร ดับพิษไข้ รักษาโรคผิวหนัง แก้กระษัย แก้ผมหงอก ผมร่วง รักษาโรคตับพิการ รักษาโรครูมาติซึม รักษาโรคไขข้อพิการ แก้ลมเข้าข้อทำให้ปวดบวมต่างๆ ขับปัสสาวะ แก้แมงเคียนกินรากผม แก้เหา แก้รังแค
ทั้งต้น - รักษาโรคผิวหนัง คุดทะราด แก้เม็ดผื่นคัน
ต้น - รักษามะเร็งเนื้องอก รักษามะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะ มะเร็งตามร่างกาย มะเร็งลำไส้ แก้แมงเคียนกินรากผม แก้เหา แก้รังแค รักษาโรคผิวหนัง
ใบ - แก้แมงเคียนกินรากผม แก้เหา แก้รังแค รักษาโรคผิวหนัง แก้ไข้ แก้ปวดหัวตัวร้อน แก้มะเร็งไช แก้หิดมะตอย รักษาโรคมะเร็ง รักษาวัณโรค แก้ใจระส่ำระสาย แก้คลุ้มคลั่ง แก้สารพัดพิษนอกจากนี้ในตำราบางเล่ม ยังได้กล่าวถึงสรรพคุณทองพันชั่ง โดยไม่ได้ระบุว่าใช้ส่วนใดของพืช หรือส่วนใดในตำรายาร่วมกับสมุนไพรอื่นๆ ในการบำบัดรักษาโรคต่างๆ ดังต่อไปนี้คือ- รักษาโรคความดันโลหิตสูง รักษาโรคมะเร็ง แก้มุตกิตระดูขาว เป็นยาอายุวัฒนะ แก้ผมร่วง รักษาโรคนิ่ว - แก้เคล็ดขัดยอกชายโครง มือเคล็ด คอเคล็ด แก้มะเร็งในกระเพาะ แก้ฝีประคำร้อย แก้มะเร็งในคอ แก้มะเร็งในปาก แก้ไข้เหนือ แก้จุกเสียด เป็นยาหยอดตา แก้ไอเป็นเลือด แก้ช้ำใน แก้นิ่ว แก้โรคผิวหนัง แก้ลมสาร แก้มะเร็งในปอด แก้มะเร็งภายในและภายนอก
วิธีและปริมาณที่ใช้ :
ใช้รับประทานเป็นยาภายใน รักษาโรคมะเร็ง และวัณโรคระยะเริ่มแรก1. ใช้ทั้งต้น สด จำนวน 30 กรัม ต้มกับน้ำ จำนวนท่วมใบยา ต้มดื่มต่างน้ำ2. ใช้ก้านและใบสด 30 กรัม (แห้ง 10-15 กรัม) ผสมน้ำตาลกรวดต้มน้ำดื่ม รักษาโรคปอดระยะเริ่มแรก
ใช้เป็นยาภายนอก แก้โรคผิวหนัง กลากเกลื้อนและผื่นคันอื่นๆ1. ใช้ใบสด 5-8 ใบ หรือ รากสด 2-3 รากใบสดตำให้ละเอียด เติมเหล้าโรงเล็กน้อย ทาบริเวณที่เป็นเกลื้อน หรือเอารากมาป่น แช่เหล้าไว้ 1 สัปดาห์ กรองเอาน้ำยาที่แช่มาทา ทาบ่อยๆ จนกว่าจะหาย2. ใช้ใบสดตำผสมน้ำมันดิบ หรือ แอลกอฮอล์ 75% ทาบริเวณที่เป็น
ดอก - รับประทาน แก้ปวดศีรษะ- ลดความดันของโลหิตที่ขึ้นสูง- แก้เลือดออกตามไรฟัน- แก้เสมหะพิการ
ดอก - ขับพยาธิ
ใบ, ผล - ทำยาต้ม ทำให้หยุดอาเจียน
ผล- มี oxalic ทำให้เลือดจับเป็นก้อน- ระบาย- แก้เลือดออกตามไรฟัน- แก้บิด ขับน้ำลาย ขับปัสสาวะ แก้นิ่ว- ลดอาการอักเสบ
ใบและราก - เป็นยาเย็น เป็นยาดับพิษร้อน แก้ไข้ ถอนพิษไข้
ผลแก่ - แก้ไข้ ดับพิษร้อนภายใน ดับพิษทุกอย่าง แก้ไข้แก้เลือด แก้หอบเนื่องจากปอดชื้น ปอดบวม แก้กาฬ แก้โรคผิวหนัง แก้พิษตานซาง แก้เสลดสุมฝีอันเปื่อยพัง แก้จุดกาฬ ผลผสมในตำรับยาร่วมกับสมุนไพรอื่นๆ รักษาโรคตัวร้อนนอนไม่หลับ นอนสะดุ้งผวา แก้สลบ แก้พิษ หัด สุกใส แก้ฝีเกลื่อน แก้ปากเปื่อย แก้สารพัดพิษ สรพัดกาฬ แก้ไข้จับเซื่องซึม แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้สารพัดไข้ทั้งปวง
ใบ - แก้พิษกาฬ ดับพิษกาฬ
ราก - แก้ริดสีดวงมองคร่อ แก้หืด- รากผสมในตำรับยาร่วมกับสมุนไพรอื่น ใช้แก้ฝีในท้อง
ต้น - แก้ลมคลื่นเหียน
เปลือกต้น- แก้กระษัย แก้พิษร้อน แก้พิษไข้- เปลือกต้นผสมในตำรับยากับสมุนไพรอื่นใช้แก้ฝีหัวคว่ำ ฝีอักเสบ
ดอก - แก้พิษ เม็ดผื่นคัน
เมล็ด - แก้โรคผิวหนัง
วิธีใช้และปริมาณ :
ดอก - แก้เด็กนอนสะดุ้งผวา ร้องไห้ตาเหลือก ตาช้อนดูหลังคา
ต้น - ขับเลือดเน่าของสตรี
ใบ - ใช้ปรุงเป็นผักรับประทานได้
หัว - แก้โลหิต ซึ่งเจือด้วยลมพิษ- ปรุงเป็นเครื่องเทศสำหรับแกง สุมศีรษะเด็ก แก้หวัด คัดจมูก รับประทานขับลมในลำไส้
สรรพคุณ : เปราะหอมแดง
ใบ - แก้เกลื้อนช้าง
ดอก - แก้โรคตา
ต้น - แก้ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ
หัว - ขับเลือด และหนองให้ตก แก้ลมพิษ แก้ผื่นคัน แก้ไอ แก้บาดแผล
หัวและใบ - ใช้ในการปรุงเป็นอาหารได้
วิธีและปริมาณที่ใช้ :
ทั้งเปราะหอมขาว และเปราะหอมแดง ใช้เปราะหอมสด 10-15 กรัม หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ หัวสดใช้ 1/2-1 กำมือ ต้มกับน้ำ 1 ถ้วยแก้ว ดื่ม 1-2 ครั้ง
เปราะหอมขาวและแดง เป็นไม้ลงหัว จำพวกมหากาฬ ใบหนาแทงขึ้นมาจากหัวใต้ดิน ม้วนๆ คล้ายๆ หูม้า หน้าใบเขียว เปราะหอมขาว ท้องใบมีสีขาว เปราะหอมแดง ท้องใบมีสีแดง ใบยาวราว 3-4 นิ้วฟุต ใบมีกลิ่นหอม ลงหัวกลมๆ เป็นไม้เจริญในฤดูฝนพอย่างเข้าฤดูหนาว ต้นและใบก็โทรมไป เปราะหอมทั้งสองรสเผ็ดขม แก้เสมหะ เจริญไฟธาตุ แก้ลมทิ้ง
เปลือก - ต้มหรือฝนรับประทาน แก้โรคบิดมีตัว- แก้มูกเลือด แก้ท้องเดิน ท้องร่วง คุมธาตุ- ภายนอก ใช้ชะล้างบาดแผล
ดอก,ใบ - รับประทานแก้ไข้เปลี่ยนอากาศ เปลี่ยนฤดู (แก้ไข้หัวลม) ชาวอินเดีย ใช้สูดน้ำที่คั้นได้จากดอกหรือใบแคเข้าจมูกรักษาโรค ริดสีดวงในจมูก และทำให้มีน้ำมูกออกมา แก้ปวดและหนักศีรษะ ลดความร้อน ลดไข้
ใบสด - รับประทานใบแคทำให้ระบาย- ใบแค ตำละเอียด พอกแก้ช้ำชอก
วิธีและปริมาณที่ใช้ :
แก้มูกเลือด บิดมีตัว แก้ท้องเดิน ท้องร่วง คุมธาตุใช้เปลือกต้นปิ้งไฟ 1 ส่วน ต้มกับน้ำหรือน้ำปูนใส 10 ส่วน รับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนแกง
แก้ไข้ ลดความร้อน แก้ไข้หัวลม (หรือไข้อากาศเปลี่ยน)- ใบสด ต้มกับน้ำรับประทานลดไข้ ใช้ยอดอ่อนจำนวนไม่จำกัด ลวกจิ้มกับน้ำพริก รับประทานแก้ปวดศีรษะข้างเดียว- ใช้ดอกที่โตเต็มที่ล้างน้ำ ต้มกับหมูทำบะช่อ 1 ชาม รับประทาน 1 มื้อ รับประทานติดต่อกัน 3-7 วัน จะได้ผล
เป็นยาขมเจริญอาหารใช้รากแห้งผสมกับ ผลสมอพิเภก ดีปลี ขิง อย่างละเท่าๆ กัน บดเป็นผงรวมกัน รับประทานกับน้ำร้อน ครั้งละ 2.5 กรัม ประมาณ 1 ช้อนแกงข้อควรระวัง - สตรีที่ตั้งครรภ์ไม่ควรใช้ยานี้
เป็นยาขับประจำเดือนใช้รากแห้ง 1-2 กรัม ต้มกับน้ำ 2 ถ้วยแก้ว รับประทานครั้งละ 1/4 ถ้วยแก้ว
สะเดา
ดอก ยอดอ่อน - แก้พิษโลหิต กำเดา แก้ริดสีดวงในลำคอ คันดุจมีตัวไต่อยู่ บำรุงธาตุ ขับลม ใช้เป็นอาหารผักได้ดี
ขนอ่อน - ถ่ายพยาธิ แก้ริดสีดวง แก้ปัสสาวะพิการ
เปลือกต้น - แก้ไข้ เจริญอาหาร แก้ท้องเดิน บิดมูกเลือด
ก้านใบ - แก้ไข้ ทำยารักษาไข้มาลาเรีย
กระพี้ - แก้ถุงน้ำดีอักเสบ
ยาง - ดับพิษร้อน
แก่น - แก้อาเจียน ขับเสมหะ
ราก - แก้โรคผิวหนัง แก้เสมหะ ซึ่งเกาะแน่นอยู่ในทรวงอก
ใบ,ผล - ใช้เป็นยาฆ่าแมลง บำรุงธาตุ
ผล มีสารรสขม - ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ และยาระบาย แก้โรคหัวใจเดินผิดปกติ
เปลือกราก - เป็นยาฝาดสมาน แก้ไข้ ทำให้อาเจียน แก้โรคผิวหนัง
น้ำมันจากเมล็ด - ใช้รักษาโรคผิวหนัง และยาฆ่าแมลง
วิธีและปริมาณที่ใช้ :
เป็นยาขมเจริญอาหารช่อดอกไม่จำกัด ลวกน้ำร้อน จิ้มน้ำปลาหวาน หรือน้ำพริก หรือใช้เปลือกสด ประมาณ 1 ฝ่ามือ ต้มน้ำ 2 ถ้วยแก้ว รับประทานครั้งละ 1/2 ถ้วยแก้ว
ใช้เป็นยาฆ่าแมลงสะเดาให้สารสกัดชื่อ Azadirachin ใช้ฆ่าแมลงโดยสูตร สะเดาสด 4 กิโลกรัม ข่าแก่ 4 กิโลกรัม ตะไคร้หอม 4 กิโลกรัม นำแต่ละอย่างมาบดหรือตำให้ละเอียด หมักกับน้ำ 20 ลิตร 1 คืน น้ำน้ำยาที่กรองได้มา 1 ลิตร ผสมน้ำ 200 ลิตร ใช้ฉีดฆ่าแมลงในสวนผลไม้ และสวนผักได้ดี โดยไม่มีพิษและอันตราย
พุดตาน
· ยารักษาคางทูม
· ยาถอนพิษ รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลมีหนอง
· ยาแก้งูสวัด
วิธีและปริมาณที่ใช้
· ยารักษาคางทูม - ใช้ใบแห้ง 10-15 ใบ บดให้ละเอียด เติมไข่ขาวผสมให้เข้ากัน เพื่อให้ยาจับกันเป็นแผ่น นำไปพอกปิดบริเวณที่บวมเป็นคางทูม เปลี่ยนยาวันละ 2 ครั้ง จนกว่าจะหายบวม- ใช้ดอก อย่างแห้ง หนัก 3-12 กรัม ใบสด 30-40 กรัม ต้มน้ำรับประทาน ใช้ภายนอก บดเป็นผงผสม หรือใช้สดตำพอก
· ยาดถอนพิษ รักษาแผลน้ำร้อนลวก ไฟไหม้ แผลมีหนอง- ใช้ใบสด 3-4 ใบ ล้างน้ำให้สะอาด ตำให้ละเอียดแล้วผสมกับน้ำมันพืช ใช้ทาแผลน้ำร้อนลวก ไฟไหม้ แผลมีหนอง
· ยาแก้งูสวัด- ใช้ใบสด 4-5 ใบ ล้างให้สะอาด ตำให้ละเอียด เติมน้ำซาวข้าว ใช้ทาบริเวณที่เป็น ทาบ่อยๆ- รากใช้เป็นยาทาภายนอก ตำพอกหรือบดเป็นผงผสมพอก
พริกไทย
· ใบ - แก้ลมจุกเสียดแน่น ท้องอืดเฟ้อ
· ผล - ผลที่ยังไม่สุกนำมาเป็นเครื่องเทศ แต่งกลิ่นอาหาร
· เมล็ด - ขับลม ขับเสมหะ ขับเหงื่อ ขับปัสสาวะ บำรุงธาตุ อาหารไม่ย่อย
· ดอก - แก้ตาแดง ถนอมอาหารหลายชนิด เช่น มะม่วงดอง
วิธีและปริมาณที่ใช้ : ใช้เมล็ด 0.5-1 กรัม ประมาณ 15-20 เมล็ด บดเป็นผง ชงรับประทาน 1 ครั้ง
ปีกแมลงสาบ
วิธีและปริมาณที่ใช้ :
· แก้ไอเป็นเลือด ใช้ต้นสด 60- 90 กรัม ต้มกับปอดหมูหนัก 120 กรัม ผสมน้ำต้มให้เหลือ 1 ชาม ดื่มหลังอาหารวันละ 2 ครั้ง
· แก้โรคหนองใน ใช้ต้นสด 60- 120 กรัม ใส่น้ำต้มให้เหลือ 1 ถ้วย ดื่มหลังอาหารวันละ 2 ครั้ง
· แก้สตรีมีตกขาวมาก ใช้ต้นสด 60- 120 กรัม น้ำตาลกรวด 30 กรัม ต่าฉ่าย (Mytilum crassitesta Lischke) 30 กรัม ผสมน้ำต้มให้เหลือครึ่งชาม ดื่มหลังอาหารวันละ 2 ครั้ง
· แก้บิดเรื้อรัง ใช้กาบหุ้มดอกสดหนัก 150 กรัม ข้าวสารคั่วจนเกรียม (เริ่มไหม้) 30 กรัม ต้มน้ำแบ่งดื่มเป็น 3 ครั้ง
บานไม่รู้โรย
· ราก - ขับปัสสาวะ แก้พิษต่างๆ
วิธีและปริมาณที่ใช้ :
· ดอกแห้ง - ใช้หนัก 3-10 กรัม ต้มน้ำดื่ม
· ทั้งต้น - ใช้หนัก 15-30 กรัม ต้มน้ำดื่ม ใช้ภายนอก - ใช้ตำพอก หรือต้มเอาน้ำชะล้าง
· ทั้งต้น รสฉุน เปรี้ยว เย็นจัด ใช้ดับร้อน แก้พิษ ขับน้ำนม แก้ชื้น ผดผื่นคัน ลำไส้อักเสบเฉียบพลัน บิดจากแบคทีเรีย หนองใน สัสสาวะเป็นเลือด ฝีในปอด ฝีที่เต้านม ฝีพิษบวมแดง ขาเป็นกลาก เน่าเปื่อย
· ยาง ใช้กัดหูด ตาปลา
วิธีและปริมาณที่ใช้
· ใช้ทั้งต้นแห้ง 6-7 กรัม (สด 30-60 กรัม) ต้มน้ำดื่ม
· ใช้ภายนอก ต้มเอาน้ำชะล้างหรือตำพอกแผล
ตำรับยา
· แก้บิดมูกเลือดใช้ทั้งต้นแห้ง 15-25 กรัม ผสมน้ำตาลทราย บิดถ่ายเป็นมูกให้ผสมน้ำตาลแดง ใช้น้ำต้มสุกตุ๋นเอาน้ำดื่ม
· แก้เบาขัด หนองใน ปัสสาวะเป็นเลือดใช้ต้นสด 30-60 กรัม ผสมน้ำดื่มวันละ 2 ครั้ง
· แก้ฝีมีหนองลึกๆใช้ใบสด 1 กำมือ ผสมเกลือและน้ำตาบทรายแดงอย่างละเล็กน้อยตำพอก
· แก้ฝีในปอดใช้ต้นสด 1 กำมือ ตำคั้นเอาน้ำครึ่งแก้ว ผสมน้ำดื่ม
· แก้ฝีที่เต้านมใช้ต้นสด 60 กรัม รวมกับเต้าหู้ 120 กรัม ต้มรับประทานใช้ต้นสด 1 กำมือ ผสมเกลือเล็กน้อย ตำผสมน้ำร้อนเล็กน้อยพอกบริเวณที่เป็น
· แก้เด็กเป็นตานขโมย (ผอม พุงโร ก้นปอด)ใช้ต้นสด 30 กรัม กับตับหมู 120 กรัม ตุ๋นรับประทาน
· แก้เด็กศีรษะมีแผลเปื่อยเน่า มีน้ำเหลืองใช้ต้นสด 1 กำมือ ต้มเอาน้ำชะล้างแผล
· แก้ขาเป็นกลาก เน่าเปื่อยใช้ต้นสด 100 กรัม แช่ในแอลกอฮอล์ 75% จำนวน 500 มิลลิลิตร 3-5 วัน เอาไว้ทาบริเวณที่เป็นบ่อยๆ
· แก้บาดแผลมีเลือดออกใช้ใบสดขยี้หรือตำพอกแผลห้ามเลือด
· ยางใช้กัดหูด ตาปลาใช้ยางขาวทาที่เป็นบ่อยๆ
เทียนบ้าน สรรพคุณ :
· ใบสด แก้ปวดข้อ ยารักษากลากเกลื้อน แก้ฝีและแผลพุพอง ยากันเล็บถอด
· ใบแห้ง แก้แผลอักเสบ ฝีหนอง แผลเน่าเปื่อย รักษาแผลเรื้อรัง
· ยอดสด แก้จมูกอักเสบ บวมแดง
· ต้นสด แก้แผลงูสวัด
· รากสด แก้บวมน้ำ ตำพอกแผลที่ถูกเสี้ยนหรือแก้วตำ
· เมล็ดแห้ง แก้ประจำเดือนไม่มา ขับประจำเดือน
ขนาดและวิธีใช้
ทับทิม
ใบ - อมกลั้วคอ ทำยาล้างตา
ดอก - ใช้ห้ามเลือด
เปลือกและผลแห้ง - เป็นยาแก้ท้องร่วง ท้องเดิน แก้บิด- แก้โรคลักกะปิดลักกะเปิด
เปลือกต้นและเปลือกราก - ใช้เป็นยาขับพยาธิตัวตืด , พยาธิตัวกลม
เมล็ด - แก้โรคลักกะปิดลักกะเปิด
วิธีและปริมาณที่ใช้
ถ่ายพยาธิตัวตืดและพยาธิตัวกลม ได้ผลดีใช้เปลือกสดของราก , ต้น ที่เก็บใหม่ๆ 60 กรัม หรือประมาณ 1/2 กำมือ เติมกานพลูหรือกระวานลงไปเล็กน้อย เพื่อแต่งรส ต้มกับน้ำ 3 ถ้วยแก้ว เคี่ยวให้เหลือ 1 1/2 ถ้วยแก้ว รับประทานครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ (30 ซี.ซี.) หลังจากนั้นประมาณ 2 ชั่วโมง รับประทานยาถ่าย เช่น ดีเกลือ 2 ช้อนโต๊ะตาม ควรอดอาหารก่อนรับประทานยา ยาแก้ท้องร่วง ท้องเดิน (ไม่ใช่บิด หรือ อหิวาตกโรค)ใช้เปลือกผล ตากแดดให้แห้ง ประมาณ 1/4 ของผล ฝนกับน้ำฝนหรือน้ำปูนใสให้ข้นๆ รับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนแกง หรือต้มกับน้ำปูนใส แล้วดื่มน้ำที่ต้มก็ได้ บิด (มีอาการปวดเบ่ง และมีมูก หรืออาจมีเลือดด้วย)ใช้เปลือกผลแห้งของทับทิม ครั้งละ 1 กำมือ (3-5 กรัม) ต้มกับน้ำ ดื่มวันละ 2 ครั้ง อาจใช้กานพลูหรืออบเชยแต่งกลิ่นให้น่าดื่มก็ได้
ดาวเรือง
· ใบ - รสชุ่มเย็น มีกลิ่นฉุน ใช้แก้ฝีฝักบัว ฝีพุพอง เด็กเป็นตานขโมย ตุ่มมีหนอง บวมอักเสบโดยไม่รู้สาเหตุ
· ช่อดอก - รสขม ฉุนเล็กน้อย ใช้กล่อมตับ ขับร้อน ละลายเสมหะ แก้เวียนศีรษะ ตาเจ็บ ไอหวัด ไอกรน หลอดลมอักเสบ เต้านมอักเสบ คามทูม เรียกเนื้อ ทำให้แผลหายเร็วขึ้น และแก้ปวดฟัน
วิธีและปริมาณที่ใช้ :
· ช่อดอก ใช้ภายใน - ใช้ช่อดอก 3- 10 กรัม ต้มน้ำดื่ม ใช้ภายนอก - ช่อดอกต้มเอาน้ำชะล้างบริเวณที่เป็น
· ใบ ใช้ภายใน - ใช้ใบแห้ง 5- 10 กรัม ต้มน้ำดื่ม ใช้ภายนอก - ใช้ใบตำพอก หรือต้มเอาน้ำชะล้างบริเวณที่เป็น
ข่อย
· กิ่งสด - ทำให้ฟันทน ไม่ปวดฟัน ฟันแข็งแรง ไม่ผุ
· เปลือก - แก้บิด แก้ท้องเสีย แก้ไข้ ฆ่าเชื้อจุลินทรีย์
· เปลือกต้น - แก้ริดสีดวงจมูก
· เมล็ด - ฆ่าเชื้อในช่องปาก และทางเดินอาหาร - เป็นยาอายุวัฒนะ บำรุงธาตุ ขับลมในลำไส้
· รากเปลือก - เป็นยาบำรุงหัวใจ
วิธีและปริมาณที่ใช้ใช้ :
· ทำให้ฟันทน ไม่ปวดฟัน ใช้กิ่งสด 5-6 นิ้วฟุต หั่นต้มใส่เกลือเคี่ยวให้งวด เหลือน้ำครึ่งเดียว อมเช้า-เย็น
· แก้บิด แก้ท้องเสีย แก้ไข้ ใช้เปลือกต้มกับน้ำรับประทาน
· แก้ริดสีดวงจมูก ใช้เปลือกต้นมวนสูบ
· ฆ่าเชื้อโรคในช่องปาก และทางเดินอาหาร เป็นยาอายุวัฒนะ โดยใช้เมล็ด รับประทาน และต้มน้ำอมบ้วนปาก
การะเกด
· ดอก - ปรุงยาหอม ทำให้ชุ่มชื่นหัวใจ ดอกหอม รับประทาน มีรสขมเล็กน้อย- แก้โรคในอก เช่น เจ็บคอ แก้เสมหะ บำรุงธาตุ- อบกลิ่นเสื้อผ้าให้หอม
วิธีใช้ - นำดอกไปเคี่ยวกับน้ำมันมะพร้าว หรือมันหมู ปรุงเป็นน้ำมันใส่ผม นำดอกเข้ายาหอมบำรุงหัวใจ
กานพลู
· เปลือกต้น - แก้ปวดท้อง แก้ลม คุมธาตุ
· ใบ - แก้ปวดมวน
· ดอกตูม - รับประทานขับลม ใช้แต่งกลิ่นดอกกานพลูแห้ง ที่ยังไม่ได้สกัดเอาน้ำมันออก และมีกลิ่นหอมจัด มีน้ำมันหอมระเหยมาก รสเผ็ด ช่วยขับลม แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง และแน่นจุกเสียด
· ผล - ใช้เป็นเครื่องเทศ เป็นตัวช่วยให้มีกลิ่นหอม
· น้ำมันหอมระเหยกานพลู - ใช้เป็นยาชาเฉพาะแห่ง แก้ปวดฟัน ฆ่าเชื้อทางทันตกรรม เป็นยาระงับการชักกระตุก ทำให้ผิวหนังชา
วิธีและปริมาณที่ใช้ :
แก้อาการท้องขึ้น ท้องอืดเฟ้อ ขับลม และปวดท้องใช้ดอกกานพลูโตเต็มที่ ที่ยังตูมอยู่ 4-6 ดอก หรือ 0.25 กรัมในผู้ใหญ่ - ใช้ทุบให้ช้ำ ชงน้ำดื่มครั้งละครึ่งถ้วยแก้ว
ในเด็ก - ใช้ 1 ดอก ทุบแล้วใส่ลงในขวดนมเด็กอ่อน - ใช้ 1 ดอก ทุบใส่ในกระติกน้ำที่ไว้ชงนม ช่วยไม่ให้เด็กท้องขึ้นท้องเฟ้อได้
· ยาแก้ปวดฟันใช้นำมันจากการกลั่นดอกตูมของดอกกานพลู 4-5 หยด ใช้สำลีพันปลายไม้ จุ่มน้ำมันจิ้มในรูฟันที่ปวด จะทำให้อาการปวดทุเลา และใช้แก้โรครำมะนาดก็ได้
· ระงับกลิ่นปากใช้ดอกตูม 2-3 ดอก อมไว้ในปาก จะช่วยทำให้
· ระงับกลิ่นปากลงได้บ้าง
· ดอกแก่จัด - ใช้เป็นยาหอมบำรุงหัวใจ บำรุงโลหิต บำรุงธาตุ แก้ลมวิงเวียน ชูกำลังทำให้ชุ่มชื่น ให้น้ำมันหอมระเหย ใช้แต่งกลิ่นเครื่องสำอาง น้ำอบ ทำน้ำหอม ใช้ปรุงยาหอม บำรุงหัวใจ
· ใบ, เนื้อไม้ - ต้มรับประทาน เป็นยาขับปัสสาวะพิการ
วิธีใช้ :
1. ใช้ดอกกลั่น ได้น้ำมันหอมระเหย
2. การแต่งกลิ่นอาหาร ทำได้โดยนำดอกที่แก่จัด ลมควันเทียนหรือเปลวไฟจากเทียนเพื่อให้ต่อมน้ำหอมในกลีบดอกแตก และส่งกลิ่นหอมออกมา แล้วนำไปเสียบไม้ ลอยน้ำในภาชนะปิดสนิท 1 คืน เก็บดอกทิ้งตอนเช้า นำน้ำไปคั้นกะทิ หรือปรุงอาหารอื่นๆ
กระชาย
· เหง้าใต้ดิน - มีรสเผ็ดร้อนขม แก้ปวดท้อง มวนในท้อง ท้องอืดท้องเฟ้อ บำรุงกำลัง บำรุงกำหนัด แก้กามตายด้าน เป็นยารักษาริดสีดวงทวาร
· เหง้าและราก - แก้บิดมูกเลือด เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ ใช้เป็นยาภายนอกรักษาขี้กลาก
· ใบ - บำรุงธาตุ แก้โรคในปาก คอ แก้โลหิตเป็นพิษ ถอนพิษต่างๆ
วิธีใช้และปริมาณที่ใช้ :
1. แก้ท้องร่วงท้องเดินใช้เหง้าสด 1-2 เหง้า ตำหรือฝนเหง้าที่ปิ้งไฟแล้วกับน้ำปูนใส หรือคั้นให้ข้นๆ รับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนแกง
2. แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด ปวดมวนในท้องใช้เหง้าและราก ประมาณครึ่งกำมือ (สดหนัก 5-10 กรัม, แห้ง 3-5 กรัม) ต้มเอาน้ำดื่ม หรือใช้ปรุงเป็นอาหารรับประทาน
3. แก้บิดใช้เหง้าสด 2 เหง้า บดให้ละเอียด เติมน้ำปูนใส คั้นเอาแต่น้ำดื่ม
4. เป็นยาบำรุงหัวใจใช้เหง้าและรากกระชายปอกเปลือก ล้างน้ำให้สะอาด หั่นตากแห้ง บดเป็นผง ใช้ผงแห้ง 1 ช้อนชา ชงน้ำร้อน ½ ถ้วยชา รับประทานครั้งเดียว
5. ยารักษาริดสีดวงทวารใช้เหง้าสด 60 กรัม ประมาณ 6-8 เหง้า ผสมกับเนื้อมะขามเปียก 60 กรัม เกลือแกง 3 ช้อนแกง ตำแล้วต้มกับน้ำ 6 แก้ว เคี่ยวให้เหลือ 2 แก้ว รับประทานครั้งละ ½ แก้ว ก่อนนอน รับประทานติดต่อกัน 1 เดือน ริดสีดวงทวารควรจะหาย
กระเจี๊ยบ
สรรพคุณ :
· กลีบเลี้ยงของดอก หรือกลีบที่เหลืออยู่ที่ผล
1. เป็นยาลดไขมันในเส้นเลือด และช่วยลดน้ำหนักด้วย
2. ลดความดันโลหิตได้โดยไม่มีผลร้ายแต่อย่างใด
3. น้ำกระเจี๊ยบทำให้ความเหนียวข้นของเลือดลดลง
4. ช่วยรักษาโรคเส้นโลหิตแข็งเปราะได้ดี
5. น้ำกระเจี๊ยบยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ เป็นการช่วยลดความดันอีกทางหนึ่ง
6. ช่วยย่อยอาหาร เพราะไม่เพิ่มการหลั่งของกรดในกระเพาะ
7. เพิ่มการหลั่งน้ำดีจากตับ
8. เป็นเครื่องดื่มที่ช่วยให้ร่างกายสดชื่น เพราะมีกรดซีตริคอยู่ด้วย
9. ใบ แก้โรคพยาธิตัวจี๊ด ยากัดเสมหะ แก้ไอ ขับเมือกมันในลำคอ ให้ลงสู่ทวารหนัก
10. ดอก แก้โรคนิ่วในไต แก้โรคนิ่วในกระเพราะปัสสาวะ ขัดเบา ละลายไขมันในเส้นเลือด กัดเสมหะ ขับเมือกในลำไส้ให้ลงสู่ทวารหนัก
11. ผล ลดไขมันในเส้นเลือด แก้กระหายน้ำ รักษาแผลในกระเพาะ
12. เมล็ด บำรุงธาตุ บำรุงกำลัง แก้ดีพิการ ขับปัสสาวะ ลดไขมันในเส้นเลือด
วิธีและปริมาณที่ใช้ : โดยนำเอากลีบเลี้ยง หรือกลีบรองดอกสีม่วงแดง ตากแห้งและบดเป็นผง ใช้ครั้งละ 1 ช้อนชา (หนัก 3 กรัม) ชงกับน้ำเดือด 1 ถ้วย (250 มิลลิลิตร) ดื่มเฉพาะน้ำสีแดงใส ดื่มวันละ 3 ครั้ง ติดต่อกันทุกวันจนกว่าอาการขัดเบาและอาการอื่นๆ จะหายไป
คุณค่าด้านอาหาร น้ำกระเจี๊ยบแดง มีรสเปรี้ยว นำมาต้มกับน้ำ เติมน้ำตาล ดื่มแก้ร้อนใน กระหายน้ำ และช่วยป้องกันการจับตัวของไขมันในเส้นเลือดได้ และยังนำมาทำขนมเยลลี่ แยม หรือใช้เป็นสารแต่งสี ใบอ่อนของกระเจี๊ยบเป็นผักได้ หรือใช้แกงส้ม รสเปรี้ยวกำลังดี กระเจี๊ยบเปรี้ยวมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า "ส้มพอเหมาะ" ในใบมี วิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา ส่วนกลีบเลี้ยงและกลีบดอก มีสารแคลเซียม ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง