1. ความกลัว บางคนมีความเคยชินกับสิ่งเดิมที่คุ้นเคย หรือเรียกว่าตกอยู่ใน comfort zoneหรือติดหลุมสบาย จนไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลง คนที่ต้องการความสำเร็จต้องมีความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง เป็นผู้ที่สามารถดึงตัวเองขึ้นมาจาก comfort zone ได้หากยึดติดกับสิ่งเดิมๆ ไม่กล้าเปลี่ยนแปลงก็จะไม่สามารถพัฒนาหรือยกระดับความสามารถของตัวเองได้เลยความกลัว กับความกล้านั้นผูกติดกันเสมือนหน้ามือกับหลังมือ สุดท้ายจึงขึ้นอยู่กับคุณล่ะค่ะว่า จะเปิดใจให้ ความรู้สึกไหนขึ้นมาโชว์ตัว 2. ความอาย มีคนมากมายที่พลาดโอกาสสำคัญของชีวิตไปอย่างน่าเสียดาย เพียงเพราะไม่มั่นใจในตนเอง และไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับอุปสรรค หรือสิ่งที่มาท้าทาย ยึดติดกับข้อมูลเก่าๆ จนกลายเป็นข้อจำกัดของตัวเองทั้งๆที่เป็นคนเก่ง และมีความสามารถมากมาย เมื่อไรก็แล้วแต่ที่คุณรู้สึกเขินอายที่จะต้องลุกขึ้นมาทำสิ่งที่แปลกแตกต่างไปจากเดิม ให้บอกกับตัวเองไปเลยค่ะว่า หนึ่ง สอง สาม เอ้า ลุย
3. ความคิดหรือความเชื่อ ความคิดหรือความเชื่อที่ฝังใจก็เป็นอีกข้อหนึ่งที่จะเป็นตัวปิดกั้นความสำเร็จของคุณทุกครั้งที่คุณพูดหรือคิดกับตัวเอง ก็เสมือนเป็นการโปรแกรมตัวเองให้มีความเข้าใจตามนั้น ดังนั้น เราจึงควร พูดกับตัวเองบ่อย ๆ ด้วยคำพูดที่ดี และให้กำลังใจกับตัวเอง เพื่อให้เกิดความฮึกเหิม และเชื่อมั่น ว่าเราจะต้องเอาชนะตัวเองและอุปสรรคต่าง ๆ ได้
วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2554
สิ่งต้องห้ามหลังมื้ออาหาร
อาหารนับเป็นสิ่งที่สำคัญของมนุษย์ แต่คุณรู้ไหมว่าหลังจากที่คุณกินอาหารแต่ละมื้อไปแล้วนั้น มีสิ่งต้องห้ามทำหลังมื้อ จะเป็นอัตรายต่อร่างกาย และที่สำคัญ ข้อห้ามพวกนั้นเรามักจะทำบ่อยด้วยสิ วันนี้พลอยเลยมานำมาเสนอข้อห้ามหลังมืออาหารให้เพื่อนๆพูนิก้าได้รู้กันค่ะ
1. ห้ามสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่หลังอาหารนับเป็ฯสิ่งที่โปรดปรานของเหล่าสิงห์อมควัน แต่ผลการทดสอบที่พิสูจน์โดยผู้เชี่ยวชาญพบว่าการสูบบุหรี่หลังรับประทานอาหารเทียบเท่ากับการสูบบุหรี่ ถึง 10 ม้วนหรือมีโอกาสเป็นมะเร็งสูงกว่า 10 เท่าเลยทีเดียว)
2. ห้ามทานผลไม้ทันที หลังอาหารทุกมื้อห้ามทานผลไม้ทันทีหลัง เพราะจะทำให้เกิดลมในกระเพาะอาหารได้ ดังนั้นควรทานผลไม้หลังทานอาหารไปแล้ว 1-2 ชั่วโมงหรือก่อนอาหาร 1
3. ห้ามดื่มชา เพราะสาระเคมีในน้ำชาจะทำปฏิกิริยาให้การย่อยสารโปรตีนในอาหารที่เรารับประทานเข้าไปนั้นเป็นไปยากขึ้น
4. ห้ามคลายเข็มขัด เพราะการคลายเข็มขัดหลังมื้ออาหารจะทำให้ลำไส้บิดตัวและอุดตันได้
5. ห้ามอาบน้ำ การอาบน้ำจะเพิ่มแรงดันเลือดไปสู่ มือแขนขาและทั่วตัว ดังนั้นจำนวนเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงกระเพาะอาหารจึงลดลงซึ่งส่งผลให้ระบบการ ย่อยอาหารของกระเพาะเราแย่ลง
6. ห้ามเดินไปมา ผู้คนมักบอกเสมอว่าการเดิน 100 ก้าวหลังรับประทานอาหารจะทำให้อายุยืนถึง 99 ปี ตามข้อเท็จจริงแล้วไม่ใช่เลย การเดินจะส่งผลให้ระบบย่อยของเราไม่สามารถดูดซึมสารอาหารที่เราทานเข้าสู่ ร่างกายได้
7. ห้ามหลับทันที เพราะอาหารที่เราทานเข้าไปจะไม่สามารถย่อยได้เลย ดังนั้นจะทำให้เกิดเชื้อโรคหรือเกิดลมในกระเพาะและลำไส้ของเราได้
วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554
"ลดบางอย่าง เพื่อ เพิ่มบางสิ่ง"
* หากลดบางอย่างให้น้อยลง คุณจะได้บางสิ่งมากขึ้น* ลดความโกรธให้น้อยลง คุณจะได้สติกลับมามากขึ้น
* ลดค่าใช้จ่ายให้น้อยลง คุณจะได้เงินเก็บมากขึ้น
* ลดความคิดที่จะหาคนที่ถูกน้อยลง คุณจะได้คำตอบสำหรับทำเรื่องที่ถูกต้องมากขึ้น
* ลดการพูดให้น้อยลง คุณจะได้ทำหลายอย่างได้มากขึ้น
* คิดถึงคนที่คุณรักให้น้อยลง คุณเข้าใจคนที่คุณรักมากขึ้น
* รักตัวเองให้น้อยลง คนอื่นรักคุณมากขึ้น
* พูดให้ร้ายคนอื่นให้น้อยลง มีคนพูดถึงคุณในแง่ดีมากขึ้น
* แสดงความฉลาดให้น้อยลง คุณได้ความรู้เพิ่มมากขึ้น
* ออกนอกบ้านให้น้อยลง คุณได้ความอบอุ่นในครอบครัวมากขึ้น
* นอนให้น้อยลง คุณทำหลายอย่างได้มากขึ้น
* คิดเรื่องเครียดให้น้อยลง คุณยิ้มได้มากขึ้น
* ลดความอายให้น้อยลง คุณได้ความกล้ามากขึ้น
* ดูละครให้น้อยลง คุณอ่านหนังสือได้มากขึ้น
* คุณวิ่งให้ช้าลง คุณมองเห็นคนข้างหลังมากขึ้น
* เชื่อให้น้อยลง คุณมองเห็นอะไรได้มากขึ้น
* ลดทิฐิให้น้อยลง คุณรู้จักอภัยมากขึ้น
* กระโดดให้น้อยลง คุณเดินได้มั่นคงมากขึ้น
* กินให้น้อยลง คุณอิ่มได้มากขึ้น
*ก้มหน้าให้น้อยลง คุณมองเห็นได้ไกลขึ้น
* พักเหนื่อยให้น้อยลง คุณรู้จักความสบายมากขึ้น
* เห็นแก่ตัวให้น้อยลง มีคนรอดชีวิตมากขึ้น
* แบกของหนักให้น้อยลง ชีวิตคุณเบามากขึ้น
* ทะเลาะกับเด็กให้น้อยลง คุณโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
* ทะเลาะกับผู้ใหญ่ให้น้อยลง คุณได้รับการเอ็นดูมากขึ้น
* เป่าลมออกให้น้อยลง คุณสูดลมเข้าได้มากขึ้น
* แอบฟังให้น้อยลง คุณได้ยินอะไรมากขึ้น
* คุณคิดคำถามให้น้อยลง คุณเห็นคำตอบมากขึ้น
วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2554
1. ปวดหัว ให้หาผักคะน้าหรือปวยเล้ง (แมกนีเซียม) กินวันละ ๕ ขีดและกินปลาทูอีกวันละ ๒ ตัว(น้ำมันปลาลดการอักเสบได้) หรือจะชงโกโก้กินหน่อยก็ช่วยได้ค่ะ
2. เป็นหวัด ไอ จามบ่อย ให้หมั่นแปรงลิ้นและกินกระเทียม, หอม, พริกให้มากเข้าไว้
3. แพ้ฝุ่นละออง ไรฝุ่น หาโยเกิร์ตแบบรสธรรมชาติและนมเปรี้ยวไม่หวานจัดมากิน
4. ไขมันในเลือดสูง แทนที่จะหายามากินให้ปวดหัวตับพังก็หากระเทียมสดมากินสักวันละ๑๐ กลีบกับกินหอมหัวใหญ่สดวันละครึ่งหัว
5. ไขข้ออักเสบ หาปลาเนื้อมันกินวันละ ๒ ขีด เช่นปลาทู, ปลาสวาย, ปลาแซลม่อน, ปลาซาร์ดีน, ปลาทูน่าหรือแม้แต่ปลากระป๋อง
6. กระเพาะปัสสาวะอักเสบบ่อย ให้กินน้ำกระเจี๊ยบไม่หวานจัดวันละ ๓ มื้อ หรือน้ำแครนเบอรี่ของฝรั่งในปริมาณเท่ากัน ( เปรี้ยวจัดมาก)
7. ท้องอืด แก๊สมาก ให้กินกล้วยหักมุกปิ้งหรือขิงบ่อย ๆ
8. โรคหืดหอบ ไอเรื้อรัง กินต้มยำไก่, กินหัวหอมใหญ่, หอมแดง, ต้นหอมและเอาหอมซุกไว้ใต้หมอน
9. นอนไม่หลับ ตักน้ำผึ้งกินก่อนนอนสักวันละ ๒ ช้อนโต๊ะ ถ้าหาน้ำผึ้งไม่ได้ใช้น้ำตาลทราย ๒ ช้อนโต๊ะแทน ถ้าอยากให้หลับสบายเพิ่มเติมขี้เหล็กและมะรุมเข้าไปหน่อย
10. วัยทอง วูบวาบ อารมณ์ปรวน ให้กินปลาทูน่าให้มากและกินเต้าหู้เหลืองวันละ ๑ แผ่น ถ้ากินเต้าหู้แล้วเบื่อให้สลับกับถั่วลิสงวันละ ๑ กำมือก็ได้
11. ความดันสูง ต้องตัดบุหรี่และอาหารเค็ม ลองหาข้าวโอ๊ตไม่ขัดสีมากินและผักขึ้นฉ่ายสดหรือปั่นก็ได้ จะช่วยคุมความดันให้ดีขึ้น
12. มะเร็งปอดทางเดินหายใจ ให้กินเสาวรส ฝรั่ง ส้ม มะนาว มะขามป้อม มะละกอ มะม่วง ให้มาก เพราะวิตามินซีช่วยสมานหลอดเลือดในปอดได้ดี แต่ต้องระวังวิตามินเอโดยเฉพาะผู่ที่ยังสูบบุหรี่อยู่
13. มะเร็งเต้านม ให้กินบร็อคโคลีหรือคะน้าวันละ ๕ ขีด
14. ความจำไม่ดี ให้กินปลาทูวันละ ๒ ขีด หอยแครงและหอยนางรมซึ่งมีธาตุสังกะสีช่วยสมองได้
15. เวียนหัว คลื่นไส้ง่าย ให้หาอาหารทำจากขิงรับประทาน เช่น ปลาผัดขิง ไก่ผัดขิง, น้ำขิง, ชาขิงหรือเต้าฮวย
16. ท้องผูก ชงน้ำผึ้งดื่มวันละ ๓ ช้อนโต๊ะและให้กินน้ำมะขามต้มติดเนื้อมาก เช้า เย็น
17. โรคกระเพาะอาหาร หากล้วยหักมุกปิ้งกิน, กินกล้วยหรือกินผักกระ หล่ำปลีให้มาก
18. หงุดหงิดง่าย ให้กินอาหารร่าเริง คือ ข้าวเ หนียวดำ ข้าวโพด กลอย กล้วยหอมและปลาทู
19. กระดูกพรุน ให้กินงาดำวันละ ๔ ช้อนโต๊ะ (ได้แคลเซียมเท่ากับเม็ดใหญ่) มะม่วงจิ้มกะปิและสับปะรดซึ่งมีธาตุสมานกระดูดอยู่มาก ( แมงกานีส)
20. ท้องเสีย ลำไส้แปรปรวน กินแอปเปิ้ลเขียววันละ ๑-๒ ผล หรือน้ำแอปเปิ้ลเขียวปั่นทั้งกาก จะเป็นการล้างพิษในตัวด้วย
21. เจ็บอก โรคหัวใจ หลอดเลือดตีบ กินปลาทะเล น้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้าเวอร์จิน ผลอโวคาโดเพราะเหล่านี้มีไขมันดีไปช่วยขับตะกรันน้ำมันเก่าออก ถ้าชอบดื่มชาให้หาชาเขียวสดมาชงดื่มเองวันละถ้วย
22. เบาหวาน ถามหา ให้เลี่ยงแป้งกับน้ำตาลและกินผักเขียวจัดอย่างคะน้า บร็อคโคลี ผักโขมให้มาก ถ้าอยากหวานให้กินส้มโอและฝรั่งเพราะมีน้ำตาลอยู่น้อยมาก
2. เป็นหวัด ไอ จามบ่อย ให้หมั่นแปรงลิ้นและกินกระเทียม, หอม, พริกให้มากเข้าไว้
3. แพ้ฝุ่นละออง ไรฝุ่น หาโยเกิร์ตแบบรสธรรมชาติและนมเปรี้ยวไม่หวานจัดมากิน
4. ไขมันในเลือดสูง แทนที่จะหายามากินให้ปวดหัวตับพังก็หากระเทียมสดมากินสักวันละ๑๐ กลีบกับกินหอมหัวใหญ่สดวันละครึ่งหัว
5. ไขข้ออักเสบ หาปลาเนื้อมันกินวันละ ๒ ขีด เช่นปลาทู, ปลาสวาย, ปลาแซลม่อน, ปลาซาร์ดีน, ปลาทูน่าหรือแม้แต่ปลากระป๋อง
6. กระเพาะปัสสาวะอักเสบบ่อย ให้กินน้ำกระเจี๊ยบไม่หวานจัดวันละ ๓ มื้อ หรือน้ำแครนเบอรี่ของฝรั่งในปริมาณเท่ากัน ( เปรี้ยวจัดมาก)
7. ท้องอืด แก๊สมาก ให้กินกล้วยหักมุกปิ้งหรือขิงบ่อย ๆ
8. โรคหืดหอบ ไอเรื้อรัง กินต้มยำไก่, กินหัวหอมใหญ่, หอมแดง, ต้นหอมและเอาหอมซุกไว้ใต้หมอน
9. นอนไม่หลับ ตักน้ำผึ้งกินก่อนนอนสักวันละ ๒ ช้อนโต๊ะ ถ้าหาน้ำผึ้งไม่ได้ใช้น้ำตาลทราย ๒ ช้อนโต๊ะแทน ถ้าอยากให้หลับสบายเพิ่มเติมขี้เหล็กและมะรุมเข้าไปหน่อย
10. วัยทอง วูบวาบ อารมณ์ปรวน ให้กินปลาทูน่าให้มากและกินเต้าหู้เหลืองวันละ ๑ แผ่น ถ้ากินเต้าหู้แล้วเบื่อให้สลับกับถั่วลิสงวันละ ๑ กำมือก็ได้
11. ความดันสูง ต้องตัดบุหรี่และอาหารเค็ม ลองหาข้าวโอ๊ตไม่ขัดสีมากินและผักขึ้นฉ่ายสดหรือปั่นก็ได้ จะช่วยคุมความดันให้ดีขึ้น
12. มะเร็งปอดทางเดินหายใจ ให้กินเสาวรส ฝรั่ง ส้ม มะนาว มะขามป้อม มะละกอ มะม่วง ให้มาก เพราะวิตามินซีช่วยสมานหลอดเลือดในปอดได้ดี แต่ต้องระวังวิตามินเอโดยเฉพาะผู่ที่ยังสูบบุหรี่อยู่
13. มะเร็งเต้านม ให้กินบร็อคโคลีหรือคะน้าวันละ ๕ ขีด
14. ความจำไม่ดี ให้กินปลาทูวันละ ๒ ขีด หอยแครงและหอยนางรมซึ่งมีธาตุสังกะสีช่วยสมองได้
15. เวียนหัว คลื่นไส้ง่าย ให้หาอาหารทำจากขิงรับประทาน เช่น ปลาผัดขิง ไก่ผัดขิง, น้ำขิง, ชาขิงหรือเต้าฮวย
16. ท้องผูก ชงน้ำผึ้งดื่มวันละ ๓ ช้อนโต๊ะและให้กินน้ำมะขามต้มติดเนื้อมาก เช้า เย็น
17. โรคกระเพาะอาหาร หากล้วยหักมุกปิ้งกิน, กินกล้วยหรือกินผักกระ หล่ำปลีให้มาก
18. หงุดหงิดง่าย ให้กินอาหารร่าเริง คือ ข้าวเ หนียวดำ ข้าวโพด กลอย กล้วยหอมและปลาทู
19. กระดูกพรุน ให้กินงาดำวันละ ๔ ช้อนโต๊ะ (ได้แคลเซียมเท่ากับเม็ดใหญ่) มะม่วงจิ้มกะปิและสับปะรดซึ่งมีธาตุสมานกระดูดอยู่มาก ( แมงกานีส)
20. ท้องเสีย ลำไส้แปรปรวน กินแอปเปิ้ลเขียววันละ ๑-๒ ผล หรือน้ำแอปเปิ้ลเขียวปั่นทั้งกาก จะเป็นการล้างพิษในตัวด้วย
21. เจ็บอก โรคหัวใจ หลอดเลือดตีบ กินปลาทะเล น้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้าเวอร์จิน ผลอโวคาโดเพราะเหล่านี้มีไขมันดีไปช่วยขับตะกรันน้ำมันเก่าออก ถ้าชอบดื่มชาให้หาชาเขียวสดมาชงดื่มเองวันละถ้วย
22. เบาหวาน ถามหา ให้เลี่ยงแป้งกับน้ำตาลและกินผักเขียวจัดอย่างคะน้า บร็อคโคลี ผักโขมให้มาก ถ้าอยากหวานให้กินส้มโอและฝรั่งเพราะมีน้ำตาลอยู่น้อยมาก
น้ำแร่ดีกว่าน้ำธรรมดา จริงหรือ??
มนุษย์ดื่มน้ำกันมากในแต่ละวันเพราะร่างกายต้องการ แต่ในระยะหลังๆ ดูเหมือนจะมีเงื่อนไขรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับน้ำดื่มมากขึ้น จนเดี๋ยวนี้บางคนไม่ยอมดื่มน้ำปกติ แต่ต้องเรียกหาน้ำแร่เมื่อก่อนนี้น้ำแร่คือน้ำแร่จริงๆ คือเป็นน้ำจากใต้ดินซึ่งอยู่ในพื้นที่ที่มีการคละเคล้าปะปนกับสารอาหารที่ อยู่ในแร่ธาตุต่างๆ จึงเชื่อกันมานานแล้วว่าการดื่มน้ำแร่นั้นดีต่อสุขภาพ เป็นสิ่งที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพโดยทำให้ร่างกายสดชื่นแข็งแรงขึ้น น้ำแร่จึงกลายเป็นสินค้าในเชิงธุรกิจที่สำคัญ และโฆษณาชนิดเสริมความเชื่อเดิมนั้น แรงจนเราลืมคิดกันไปว่าร่างกายต้องการน้ำแร่จริงๆ หรือไม่แท้ที่จริงแล้วเราดื่มน้ำแร่เพื่อความสดชื่นเท่านั้นเองนะครับ แร่ธาตุในน้ำแร่นั้นไม่ใช่แร่ธาตุที่ร่างกายเราต้องการในปริมาณมากมายนัก และเราก็ได้รับแร่ธาตุพอสมควรแล้วจากการกินอาหาร การดื่มน้ำแร่ หรือดื่มน้ำประปาที่สะอาด หรือดื่มน้ำบรรจุขวดขาย ดูจะไม่แตกต่างกันนัก การดื่มน้ำแร่จึงไม่ใช่ของที่จำเป็น ศาสตร์ทางโภชนาการไม่เคยพูดถึงเรื่องน้ำแร่เลย จึงเป็นเรื่องของผู้บริโภคว่าจะยินยอมเสียเงินเพื่อซื้อน้ำแร่มาดื่มหรือ เปล่าเท่านั้นเองแต่เราไม่ได้มาชวนต่อต้านน้ำแร่ ใครที่อยากดื่มก็เชิญดื่มได้ตามสบาย เพียงแต่ประเด็นก็คือ แร่ธาตุที่มีมากกว่าน้ำธรรมดาในน้ำแร่นั้น ไม่ได้เพิ่มสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะร่างกายไม่สามารถรับได้เนื่องจากมีเกินพอไปเสียแล้ว
มนุษย์ดื่มน้ำกันมากในแต่ละวันเพราะร่างกายต้องการ แต่ในระยะหลังๆ ดูเหมือนจะมีเงื่อนไขรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับน้ำดื่มมากขึ้น จนเดี๋ยวนี้บางคนไม่ยอมดื่มน้ำปกติ แต่ต้องเรียกหาน้ำแร่เมื่อก่อนนี้น้ำแร่คือน้ำแร่จริงๆ คือเป็นน้ำจากใต้ดินซึ่งอยู่ในพื้นที่ที่มีการคละเคล้าปะปนกับสารอาหารที่ อยู่ในแร่ธาตุต่างๆ จึงเชื่อกันมานานแล้วว่าการดื่มน้ำแร่นั้นดีต่อสุขภาพ เป็นสิ่งที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพโดยทำให้ร่างกายสดชื่นแข็งแรงขึ้น น้ำแร่จึงกลายเป็นสินค้าในเชิงธุรกิจที่สำคัญ และโฆษณาชนิดเสริมความเชื่อเดิมนั้น แรงจนเราลืมคิดกันไปว่าร่างกายต้องการน้ำแร่จริงๆ หรือไม่แท้ที่จริงแล้วเราดื่มน้ำแร่เพื่อความสดชื่นเท่านั้นเองนะครับ แร่ธาตุในน้ำแร่นั้นไม่ใช่แร่ธาตุที่ร่างกายเราต้องการในปริมาณมากมายนัก และเราก็ได้รับแร่ธาตุพอสมควรแล้วจากการกินอาหาร การดื่มน้ำแร่ หรือดื่มน้ำประปาที่สะอาด หรือดื่มน้ำบรรจุขวดขาย ดูจะไม่แตกต่างกันนัก การดื่มน้ำแร่จึงไม่ใช่ของที่จำเป็น ศาสตร์ทางโภชนาการไม่เคยพูดถึงเรื่องน้ำแร่เลย จึงเป็นเรื่องของผู้บริโภคว่าจะยินยอมเสียเงินเพื่อซื้อน้ำแร่มาดื่มหรือ เปล่าเท่านั้นเองแต่เราไม่ได้มาชวนต่อต้านน้ำแร่ ใครที่อยากดื่มก็เชิญดื่มได้ตามสบาย เพียงแต่ประเด็นก็คือ แร่ธาตุที่มีมากกว่าน้ำธรรมดาในน้ำแร่นั้น ไม่ได้เพิ่มสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะร่างกายไม่สามารถรับได้เนื่องจากมีเกินพอไปเสียแล้ว
อันตรายจากกลิ่นน้ำมันเบนซิน
หลายคนเวลาเข้าปั๊มน้ำมัน อาจจะลืมสังเกตว่ามีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น ลองลำดับภาพนะครับ ขับรถเข้าไปที่หัวจ่ายน้ำมัน จากนั้นเปิดกระจกรถึ้น บอกเด็กปั๊มว่าต้องการเติมน้ำมันชนิดไหน ราคาเท่าไหร่ จากนั้นก็เปิดฝาน้ำมัน เด็กปั๊มจัดการเติมน้ำมันให้คุณเสร็จ คุณก็จ่ายสตางค์เสร็จแล้วปิดกระจกรถขับรถออกไปจากปั๊ม จากนั้นคุณอาจจะรู้สึกถึงกลิ่นในรถที่เปลี่ยนไป บรรยากาศในรถของคุณจะอบอวลไปด้วยกลิ่นของน้ำมันครับ ยิ่งถ้าคุณเปิดหน้าต่างหรือประตูรถเป็นเวลานานๆ ไอน้ำมันที่ทำให้เกิดกลิ่นก็จะมากขึ้นไปด้วย หากคุณเปิดแอร์ในรถคงนานกว่ากลิ่นจะจาง แต่คุณไม่รู้ตัวเพราะจมูกอาจจะชินไปแล้ว แต่ถ้าเปิดกระจกขับรถกลิ่นก็จะหายไปเร็วขึ้น คุณอาจจะยังสงสัยว่า แค่กลิ่นไอน้ำมันแค่นั้น ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรถึ้น แต่อยากจะให้ระวังไว้ว่า ไอน้ำมันต่างๆ รวมทั้งน้ำมันเบนซินที่เติมเข้าไป มีสารที่สามารถทำลายไขกระดูกผสมอยู่คือ สารไฮโดรคาร์บอนที่เป็นส่วนประกอบของน้ำมันนั่นแหละครับ เป็นสารที่ทำให้เกิดปัญหากับสุขภาพได้ หากได้รับในปริมาณมากๆ เป็นเวลานานๆ สารดังกล่าวอาจทำให้เกิดปัญหาของไขกระดูกฝ่อหรือไขกระดูกไม่ทำงาน หรืออาจจะเป็นสารก่อมะเร็งได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งเม็ดเลือด ไม่ใช่ว่าทุกคนที่ได้รับแล้วจะเกิดปัญหานะครับ แต่โอกาสที่จะเกิดโรคก็จะสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กเล็กๆ ที่ทำงานในปั๊มน้ำมันเร็ง พวกเด็กปั๊มนั่นล่ะครับโอกาสเสี่ยงสูง หากได้รับสารในปริมาณที่มากเป็นเวลานานๆ โอกาสที่จะเกิดปัญหาก็สูงขึ้น แต่ถ้าได้รับในปริมาณน้อยในระยะเวลาสั้นๆ โอกาสก็จะลดลง ที่เน้นว่าในเด็กเพราะเซลล์ต่างๆ ยังค่อนข้างไวต่อการเปลี่ยนแปลงและการถูกทำลายจากสิ่งแวดล้อม โอกาสก็จะมากกว่าผู้ใหญ่ และแน่นอนที่สุด เด็กปั๊มหรือคนที่ทำงานเกี่ยวกับน้ำมัน เช่น อู่ซ่อมรถก็มีโอกาสเป็นสูงกว่าคนธรรมดาที่นานๆ จะได้รับสารซักที นอกจากนี้การสูดดมไอน้ำมันหรือสารต่างๆ จากน้ำมันอยู่เสมอๆ ก็ยังจะทำให้ระคายเคืองเยื่อบุจมูก ซึ่งถ้านานวันไปก็อาจทำให้เป็นโรคเยื่อบุจมูกอักเสบเรื้อรังได้ ดังนั้นหากคุณต้องเติมน้ำมันก็ควรปิดประตูหน้าต่างรถไว้ อย่าให้กลิ่นไอของน้ำมันเข้าไปในรถมากเกินไป ในบางครั้งที่นำรถออกจากอู่ก็เช่นกัน ควรเปิดกระจกขับให้ลมโกรกระบายกลิ่นออกไปให้หมดอย่างรวดเร็ว
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)