1. เชื้อราในช่องคลอด
ตรวจภายในกับสูตินรีแพทย์ มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเหมือนไปหาแพทย์ผิวหนังเพื่อรักษาสิว และยังมีอาการคันแปลกๆที่ถ้าใครรู้จะคิดว่าเราเป็นผู้หญิงไม่รักษาความสะอาดหรือเปล่า?
ไม่ต้องอาย: คุณมีเพื่อน!!ผู้หญิงไทย 1 ใน 10 คน รู้รสอาการคันนี้มาแล้ว และคนที่มีโอกาสเป็นมากคือ คนที่รักษาความสะอาดมากที่สุด (พอๆกับคนที่สกปรกที่สุด)
อาการ: "คัน" คืออาการแรกที่รู้สึกได้และจะรู้สึกมากขึ้น บ่อยขึ้น ไม่เลือกเวลา จนทนไม่ไหวต้องไปหาหมอ มีตกขาวเหมือนผงแป้งในช่องคลอด หรือปากช่องคลอด ฉี่แสบขัด ช่องคลอดแดง แสบและแห้ง ต้นเหตุของอาการ "จิมมี่รา" มาจากเชื้อราแถวจุดซ่อนเร้น ที่ชอบความอับชื้น ถ้ายิ่งรัด ยิ่งอับ เชื้อราจะมาได้ง่าย แต่ถ้าสะอาดเกินไปล้างทุกครั้งใช้น้ำยาทำความสะอาด"น้องสาว"ตลอดเวลา เชื้อโรคดีดีในช่องคลอดก็ถูกทำลาย ไม่มีอาวุธต่อสู้กับเชื้อรา ก็เป็นได้เหมือนกัน
ดูแลตัวเอง
Don't
1.หมกชุดชั้นในนานแล้วค่อยซักครั้งหนึ่ง เชื้อราจะเกิดได้ง่ายเพราะชื้นและอาจมีคราบแป้งตกขาวติดอยู่ที่ชั้นใน
2.นุ่งกางเกงรัดๆหรือนุ่งสเตย์รัดๆ
3.ตากชั้นใน ผ้าเช็ดตัวในห้องน้ำ
4.ใช้สายฉีดน้ำชำระล้างจุดซ่อนเร้น
5.กินยาฆ่าเชื้อหรือแก้อักเสบบ่อยๆ
Dos
1. ถ้าเริ่มรู้สึกคันๆ ผิดปกติ ให้ทานโยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยวให้มากๆเข้าไว้ "แลคดตบาซิลลัส" ช่วยคุณได้
2. พักผ่อนให้พอ ไม่เครียด ทำร่างกายให้แข็งแรง จะได้มีภูมิต้านทานอยู่เสมอ
3. ทำความสะอาด "น้องสาว" ด้วยน้ำสะอาด และเช็ดให้แห้งก็พอ
4. ใส่ชั้นในเป็นผ้าฝ้ายหรือผ้าที่ระบายอากาศได้ดี บางวันอาจจะใส่เป็นสลิปหรือซับในที่เป็นกางเกงแทนบิกินี หรือกางเกงในบ้าง
S.O.S. ถ้าเป็นผื่นแดงๆหรือเป็นขุย ตามง่ามขาหรือขาหนีบ ให้ใช้ครีมที่รักษาเชื้อรา เช่น คาเนสเทนทาวันละ 1-2 ครั้ง (ใช้ทาเฉพาะภายนอก) แต่ถ้าคันในช่องคลอดหนักมาก ต้องใช้ยาเหน็บช่องคลอด เช่น คาเนสเทน วีอาร์ ซึ่งควรให้แพทย์สั่ง เพื่อการรักษาที่ได้ผลเต็มที่และไม่ดื้อยา
2. เริม
"ไปทำอะไรมาล่ะ?" นี่คือความคิดของคนอื่นเมื่อรู้ว่าเราเป็นเริม เพราะแค่จามหรือหายใจรดกัน คงไม่ทำให้เป็นเริมได้ เป็นเริมในร่มผ้ายังพอปิดกันได้ แต่เวลาที่เป็นเริมที่ริมฝีปาก จะหลบหน้าใครเขาได้ไม่ต้องอาย: เริมเป็นโรคติดต่อทางผิวหนัง เกิดจากเชื้อไวรัส อาจติดมาจากใช้ผ้าเช็ดตัวร่วมกันก็ได้ และเริมที่ปากกับอวัยวะเพศมาจากเชื้อคนละตัวกัน (แต่เดี๋ยวนี้เริ่มมาจากเชื้อตัวเดียวกัน เมื่อปากทำงานต่ำลง) สาวโสดก็เป็นได้ ถ้าเริ่มจากเป็นเริมที่ปากแล้วเผลอเอามือไปจับ แล้วไปเกาถึงข้างล่างอาการ: มีตุ่มน้ำใสๆ 2-3 ตุ่มขึ้นรวมกันเป็นกระจุก เจ็บๆคันๆ ถ้าตุ่มแตกจะปวดแสบปวดร้อน เป็นครั้งแรกอาจจะมีไข้ผสมด้วย "เริมเป็นแล้วไม่หายขาด จะกลับมาเมื่อร่างกายอ่อนแอ"
ดูแลตัวเอง
Dos
1. อย่าเครียด รักษาร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ
2. นอนหลับพักผ่อนให้พอ โอกาสติดเชื้อไว้รัสจะน้อยลง
3. ใส่เสื้อผ้าโปร่งสบาย เริมชอบความอับชื้นและร้อน เพราะไวรัสเติบโตได้ง่าย
4. ล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ
5. ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเซ็กซ์
Don't
1. หยุดดื่มเหล้า เบียร์ สำหรับคนที่เคยเป็นแล้ว ถ้าดื่มหนักมากไป เริมจะกลับมาเยี่ยมอีก
2. ใช้เสื้อผ้า ใช้แก้วน้ำร่วมกับคนอื่น
S.O.S. รักษาตามอาการ เช่นถ้าปวด ก็กินยาแก้ปวด และกินยาป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย ถ้าใครปวดมากๆแนะนำให้นั่งแช่น้ำอุ่นในกะละมัง ครั้งละ 10-15 นาที วันละ 2-3 ครั้ง หรือทายากลุ่ม acyclovir Zovirax, Vilerm เป็นต้น ส่วนยากินเหมาะกับคนที่เป็นซ้ำบ่อยๆ คือ Zovirax หรือ Valtrex ควรให้แพทย์เฉพาะทางเป็นคนจ่ายยา
3. ริดสีดวง
ถ้าไม่เป็นจะไม่เข้าใจคำว่า "ลมมันเย็น" ได้เลย ถ้าเทียบความอายแล้วอาจจะน้อยกว่าเจ็บ เพราะเวลาที่ความเจ็บมากขึ้น ความอายจะเท่ากับศูนย์
ไม่ต้องอาย: เชื่อหรือไม่? ทุกคนมีสิทธิ์เป็นได้ทั้งนั้นเพราะทุกคนมีเนื้อเยื่อริดสีดวง!!
อาการ: บางคนถ่ายออกมาเป็นเลือดสดหลังถ่ายหนัก บางคนเลือดไม่ออก แต่นั่งไม่ลงเพราะมี "หัวริดสีดวง" ยื่นออกมาข้างนอก (ริดสีดวงภายนอก)หรือบางคนอาจจะเจ็บอยู่ข้างใน (ริดสีดวงภายใน) ซึ่งเกิดจากความดันในหลอดเลือดดำบริเวณประตูหลังเพิ่มมากขึ้นจนโป่งพอง กลายออกมาเป็น "หัวริดสีดวง" อาจจะมาจากท้องผูก ถ่ายท้องบ่อย (ทำให้ต้องเบ่งบ่อยๆ)นั่งถ่าย และถ้าหนักมากขึ้นผนังหลอดเลือดจะแตกปริ ทำให้เกิดแผลและเลือดออกและอาจจะหายหลับเป็นปกติได้เมื่อหายอักเสบแล้ว
ดูแลตัวเอง
Dos
1. ทานผัก ผลไม้และดื่มน้ำเยอะๆ ป้องกันท้องผูก
2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ลำไส้จะทำงานได้ดีขึ้น
Don't
1. อย่านั่งนานๆ ยืนนานๆ
2. ใส่กางเกงหรือกางเกงชั้นในรัดเกินไป
S.O.S. นั่งแช่น้ำอุ่นวันละ 5-10 นาที วันละ 2-3 ครั้งจะช่วยลดความเจ็บปวดและช่วยให้หัวริดสีดวงยุบลงได้ จากนั้นไปซื้อยาทา เช่น Protosedyl หรือ Anusal ประมาณ 7-10 วัน จะช่วยให้ยุบลงและถ้าไปหาหมออาจจะสั่งให้กินยาให้หลอดเลือดแข็งแรงร่วมด้วย เช่น Daflon
4. ปากเหม็น..เท้าเหม็น..มีกลิ่นตัว
สิ่งที่ลำบากที่สุดเมื่อตกอยู่ในอาการนี้คือ แค่นั่งเฉยๆ กลิ่นก็ยังฟ้อง หน้าตาสวยแค่ไหน ก็กลบกลิ่นไม่ได้ไม่ต้องอาย: ยอมรับความจริงแล้วเริ่มต้นรักษาดีกว่า
อาการ: กลิ่นปากอาจจะเกิดฟันผุ ต่อมทอนซินอักเสบ กลิ่นตัวมาจากต่อมเหงื่อทำงานมากผิดปกติ ทำให้มีแบคทีเรียสะสม จนมีกลิ่นออกมา คนที่กลิ่นเท้าแรงๆอาจจะมีแบคทีเรียอยู่ตามง่ามนิ้วเท้าหรือฝ่าเท้าได้
ดูแลตัวเอง
Dos
+ กลิ่นปาก
1. พกน้ำยาบ้วนปากเป็นประจำ แปรงฟันบ่อยๆและตรวจฟันสม่ำเสมอ
2. เลี่ยงอาหารที่มีรสจัด กลิ่นแรง
+ กลิ่นตัว
1. อาบน้ำฟอกสบู่ที่ผสมตัวยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เช่น สบู่ผสมเฮกซ่าคลอโรฟิน หรือ ผสมเฮกคลอเฮกซีติน
2. ใส่เสื้อผ้าบางๆโปร่งๆ ไม่ใส่เสื้อผ้าซ้ำ
+ กลิ่นเท้า
1. ทำความสะอาดรองเท้าบ่อยๆ ใช้แผ่นรองระบายอากาศในรองเท้า เอารองเท้าไปตากแดด
2. เปลี่ยนถุงเท้าทุกวัน และรอให้เท้าแห้งก่อนใส่ถุงเท้า
3. ใส่รองเท้าให้ถูกขนาด ป้องกันเล็บขบ
4. ขัดเท้า ตัดเล็บให้สะอาดอยู่เสมอ (ไม่ปล่อยให้มีขี้เล็บติดค้างอยู่ในเล็บ)
5. ใช้สเปรย์ดับกลิ่น หรือแป้งลดเหงื่อเท้า
6. ลองใช้ยาที่รักษาสิว พวกเบนซอย เพอริออกไซด์ มาทาที่ฝ่าเท้าดู จะช่วยลดแบคทีเรีย
5. นอนกรน
อาการนี้จะลดระดับความอายลงไปเรื่อยๆถ้าได้อยู่กับคนสนิท หรือแทบเป็นศูนย์เมื่อนอนคนเดียว แต่ลองคิดถึงคืนแรกที่คุณต้องนอนร่วมเตียงกับผู้ชายในฝันที่อยากฝากชีวิตไว้กับเขาตลอดไปสิ เช้าวันต่อมาจะเป็นอย่างไร..และที่ร้ายที่สุด เวลานั้นมันบังคับตัวเองไม่ได้จริงๆ
ไม่ต้องอาย: ความลับนี้จะรู้เฉพาะคนที่นอนกับเราเท่านั้นล่ะ
อาการ: เสียงหายใจดังๆ เวลาหลับ ทำให้ผู้หญิงหน้าตาสวยงาม สามารถกลายเป็นหัวจักรรถไฟหรือโรงสีข้าวได้เพียงเธอหลับตา
ดูแลตัวเอง
Dos
1. นอนตะแคงจะช่วยให้หายใจได้ดีขึ้น ลองใช้หมอนลูกเล้กรองหลังไว้ไม่ให้พลิกตัวตอนหลับ
2. ลดน้ำหนักลง คนอ้วนจะมีไขมันและมีน้ำหนักกดทับลงบนเนื้อเยื่อคอมาก ทำให้หายใจไม่สะดวก
3. ตื่นก่อน นอนทีหลังคนอื่นเข้าไว้ เพื่อความสุขของคนรอบข้าง
Don't
ดื่มเหล้าก่อนนอน หรือทานยาแก้แพ้ จะทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว หายใจตื่นขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น