วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2554

กำเนิดพระพิฆเนศวร


คัมภีร์ปราณะได้บันทึกไว้ช่วงหลังพุทธศตวรรษที่ 1 กล่าวถึงการกำเนิดพระพิฆเนศในฐานะเทพ และโอรสของพระแม่อุมาเทวีกับพระศิวะเทพ โดยแต่ละตำนานได้กล่าวไว้แตกต่างกัน ดังนี้
ตำนานที่หนึ่ง ปราบอสูรและรากษส
เมื่ออสูรและรากษส ทำการบวงสรวงพระศิวะเพื่อขอพรต่อพระองค์จนได้รับพร สมประสงค์ ต่อเมื่อได้ใจกลับรุกรานเหล่าเทวดาให้ได้รับความเดือดร้อนไปทั่ว จนความถึงพระอินทร์จึงจำต้องพาเหล่าเทวดาทั่งหลายไปขอเข้าเฝ้าพระศิวะเจ้า เพื่อขอให้ทรงหนหนทางหรือผู้ที่จะปราบเหล่าอสูรและรากษสใจพาลเหล่านั้น เมื่อได้ฟังคำร้องทุกข์จากเหล่าเทวดาแล้ว พระศิวะจึงทรงแบ่งกายเป็นบุรุษรูปงามซึ่งจะไปถือกำเนิดในครรภ์ของพระอุมาเทวี เมื่อถึงเวลากำเนิดแล้ว พระองค์จึงทรงให้พระนามว่าพระวิฆเนศวรเพื่อทำหน้าที่ปราบอสูรและรากษสทั้งหลาย เมื่อเสร็จสิ้นการปราบอสูรแล้ว พระองค์จึงทรงมอบหมายให้พระวิฆเนศวรทรงเป็นผู้ขัดขวาง และป้องกันเหล่าผู้มีจิตใจพาลต่างๆ ที่จะมาขอพรจากพระศิวะเพื่อนำไปใช้ในทางที่ผิด รวมทึ้งเป็นผู้คัดสรรเหล่าเทวดาและมนุษย์ผู้ทำกรรมดีและช่วยเหลือให้ค้นพบกับความสำเร็จ จากการขอพรต่อพระศิวะต่อไป
ตำนานที่สอง พระปารวตี (พระแม่อุมาเทวี) ปั้นเหงื่อไหลให้เป็นพระบุตร
เมื่อคราวที่พระปารวตีสรงน้ำอยู่ในอุทยาน พระองค์ทรงนำเหงื่อไคลของพระองค์มาปั้นเป็นหุ่นเทวบุตรรูปงาม และทรงใช้เวทย์มนต์เพื่อให้หุ่นนั้นมีชีวิตขึ้นมา จากนั้นจึงทรงรับสั่งให้เทวบุตรออกไปเฝ้ายังด้านหน้าประตูทางเข้าอุทยาน โดยได้รับสั่งว่าห้ามมิให้ผู้ใดเข้ามาโดยเด็ดขาด เหตุการณ์เป็นเช่นนี้มาโดยตลอดทุกครั้งที่พระแม่อุมาทรงสรงน้ำ ณ อุทยานแห่งนี้ จนกระทั่งเมื่อถึงวันกำหนดเสด็จกลับของพระศิวะ และเมื่อทั้งสองพระองค์พบกันในคราแรกต่างก็จะเข้าไปในอุทยาน อีกฝ่ายก็ปกป้องมิให้ผู้ใดย่างกายเข้าในอุทยานได้ด้วยเทวบุตรทรงได้รับคำสั่งของพระอุมา ห้ามมิให้ผู้ใดล่วงละเมิดเข้าไปยังสถานที่สรงน้ำแห่งนี้ เมื่อเป็นดั่งนั้นพระศิวะจึงทรงสั่งให้บริวารเข้าต่อสู้และได้สังหารเทวบุตร (แต่ในบางคัมภีร์ก็ว่าพระศิวะทรงใช้ตรีศูลตัดเศียรเทวบุตรนั้น บ้างก็ว่าพระวิษณุทรงใช้จักรตัดเศียร)
เมื่อพระปารวตีทรงพบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พระองค์ทรงโกรธและโมโหพระสวามียิ่ง จนถึงกับทำศึกใหญ่ระหว่างทั้งสองพระองค์ ร้อนถึงพระฤาษีนารอด (นารท) ต้องออกรับหน้าเจรจาศึกในครานี้ โดยพระปราวตีได้กล่าวให้พระศิวะผู้สวามีต้องหาหนทางให้เทวบุตรฟื้นชีวิตจึงจะยอมสงบศึกให้
พระศิวะจึงทรงมีคำสั่งให้เทวดาผู้เป็นบริวารเดินทางไปทิศเหนือ และให้ตัดศรีษะของสิ่งมีชีวิตแรกที่พบเพื่อนำมาต่อให้กับเทวบุตรผู้เป็นโอรส ไม่นานนักเทวดาก็เดินทางกลับมาพร้อมกับนำเศียรช้าง (มีงาเดียว) เพื่อมาต่อให้พระโอรส ซึ่งต่อมาจึงทรงตั้งพระนามใหม่ คือ คชานนะ (มีหน้าเป็นช้าง) และเอกทันต (ผู้มีงาเดียว) เมื่อได้ชุบชีวิตฟื้นแล้วพระปราวตีจึงทรงเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ทั้งสองพระองค์ได้ฟังว่าทั้งสองพระองค์ทรงเป็นพระบิดาและพระโอรส ซึ่งฝ่ายโอรสได้ฟังดังนั้นถึงกลับหมอบกราบขออภัยโทษเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของตน พระศิวะทรงพอพระทัยยิ่งนัก ถึงกับประทานพรให้พระโอรสให้เป็นผู้มีอำนาจเหนือเหล่าภูตผีทั้งปวง และทรงแต่งตั้งให้เป็น คณปติ ผู้เป็นใหญ่ในที่สุด
ตำนานที่สาม ขวางคนชั่วที่ต้องการล้างบาป ณ เทวาลัยโสมนาถ และเทวาลัยโสมีศวร
ตำนานกล่าวถึงว่าพระปารวตีได้ทรงนำน้ำที่ใช้ในการสรงน้ำมาผสมเหงื่อไคล ปั้นเป็นเทวบุตรรูปเป็นมนุษย์แต่มีเศียรเป็นช้าง จากนั้นจึงนำน้ำจากพระคงคามาประพรมเพื่อให้มีชีวิตขึ้นมา โดยมีพระประสงค์ให้ไปขัดขวางคนชั่วที่จะไปบูชาศิวลึงค์ เพราะหวังที่จะล้างบาปตนเอง ณ เทวาลัยโสมนาถ และเทวาลัยโสมีศวร เพื่อไม่ให้ตนตกขุมนรก
จากเรื่องเล่านี้ ทำให้ชาวฮินดูทั้งหลายนิยมนำรูปปั้นพระพิฆเนศมาจุ่มน้ำ ณ วัดคเนศจาตุรถี หรือบางครั้งก็จะนำเทวรูปเล็กๆ นำไปทิ้งตามแม่น้ำคงคาด้วยความเชื่อที่ว่า น้ำจากแม่น้ำคงคาจะทำให้พระคเณศมีชีวิตขึ้นมานั่นเอง
ตำนานที่สี่ พระกฤษณะอวตาร
เล่าไว้ว่าเมื่อครั้งพระปารวตียังไม่มีโอรส พระศิวะเทพผู้สวามีจึงให้คำแนะนำว่าให้จัดทำพิธีปันยากพรต (การบูชาพระวิษณุเทพในวันขึ้น 13 ค่ำ เดือนมาฆะ) โดยใช้เวลาในการทำพิธีตลอด 1 ปี ซึ่งหากทำโดยตลอดจนครบก็จะประสบความสำเร็จในการขอบุตร ซึ่งพระกฤษณะจะอวตารมาจุติ ต่อเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามคำของพระศิวะเทพแล้ว เหล่าเทพเทวดาทั้งหลายก็ได้มาร่วมอวยพรกับการถือกำเนิดของพระโอรสพระองค์นี้ รวมถึงเทพศนิ (พระเสาร์) ก็เข้ามาร่วมพิธีอวยพรด้วย ซึ่งพระศนิพระองค์นี้มีเรื่องกล่าวไว้ว่า เมื่อพระองค์ทรงเพ่งมองสิ่งใดมักจะเกิดไฟเผาผลาญสิ่งนั้นๆ จนหมดสิ้นไป
ในคราวเข้าร่วมพิธีอวยพร พระศนิก็ทรงได้ชื่นชมพระโอรส จนเผลอตนเพ่งมองพระโอรสจนเศียรของพระกุมารหลุดกระเด็นไปยังโคโลก (ที่ประทับพระกฤษณะ) พระศิวะจึงมีบัญชาให้พระวิษณุออกตามหาเศียรพระโอรส แต่ก็ไม่ทรงพบต่อมาเมื่อผ่านแม่น้ำบุษปภัทร พระวิษณุทรงแลเห็นช้างนอนหันหัวไปทางทิศเหนือ จึงตัดเศียรช้างนั้นนำกลับมาต่อให้พระโอรส
ตำนานที่ห้า พระศิวะ-พระปารวตีแปลงเป็นช้าง
คราหนึ่งพระศิวะและพระปารวตีได้เสด็จไปยังภูเขาหิมาลัย ได้แลเห็นช้างกำลังสมสู่กัน จึงบังเกิดความใคร่ จากนั้นจึงทรงแปลงกายเป็นช้างและสมสู่กันจนเกิดพระโอรส นามพระพิฆเนศ
ตำนานที่หก พระวิษณุเทพ เปล่งวาจากสิทธิ์ในพิธีโสกันต์
จากที่พระศิวะและพระปารวตีทรงจัดพิธีโสกันต์ให้กับพระโอรสในพิธีฤกษ์คือ วันอังคารจึงได้แจ้งเชิญเทพทั้งหลายทั้งมวลมาเป็นสักขีพยาน แต่คงยังขาดเพียงองค์วิษณุเทพที่ทรงอยู่ระหว่างบรรทม จนเมื่อใกล้เวลาอันเป็นมงคล พระศิวะเทพจึงทรงให้พระอินทร์นำสังข์ไปเป่าเพื่อปลุกให้พระวิษณุเทพตื่นจากบรรทม เมื่อพระวิษณุเทพทรงตืนจากบรรทมด้วยเสียงดังของสังข์ จึงทำให้พระวิษณุเทพพลั่งโอษฐ์ออกไปว่า "ไอ้ลูกหัวขาดจะนอนให้สบายก็ไม่ได้" เพียงวาจานี้ถึงกลับทำให้เศียรของพระโอรสหายไปในทันที เหล่าเทพทั้งหลายเมื่อเห็นดังนี้แล้วจึงปรึกษากันว่า วันอังคารถือเป็นฤกษ์ไม่ดีขอห้ามทำพิธีการมงคลใดๆ ทั้งมวล กลับถึงเรื่อง พระเศียรของโอรสพระศิวะเทพจึงมีบัญชาให้พระวิษณุกรรมไปตัดหัวมนุษย์ที่เพิ่งสิ้นชีวิต ณ ทิศตะวันตก แล้วนำกลับมาโดยเร็ว แต่ในวันนั้นหาได้มีมนุษย์ผู้ใดสิ้นอายุขัยลง พระวิษณุกรรมแลเห็นเพียงช้างพลายงาเดียวเท่านั้นที่สิ้นชีวิตลง จึงตัดหัวช้างพลายตัวนั้นกลับมาถวายพระศิวะเทพ
ในช่วงเวลาที่ศาสนาพุทธกำลังเติบโตในอินเดีย มีเรื่องเล่ากล่าวในตอนนี้ว่า เมื่อเทวดานำหัวช้างมาต่อแต่ก็ยังไม่สามารถทำให้พระโอรสฟื้นชีวิตได้ พระศิวะเทพจึงต้องให้พระวิษณุเทพไปทูลเชิญเสด็จพระศิริมานนท์อรหันต์ ให้โปรดเสด็จมาสวดพระคาถาชินบัญชรจนสำเร็จทำให้พระโอรสฟื้นชีวิต

วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554


ฝรั่งแช่บ๊วย ไม่ระวัง...ถึงตาย!


ขอเตือนหนุ่มสาวออฟฟิศที่ชอบผลไม้รถเข็น เพราะเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยสยาม เขาร่วมกันเก็บตัวอย่างผลไม้รถเข็น เพื่อทดสอบการปนเปื้อนในอาหาร ปรากฏว่า ผล ไม้แปรรูปมีการปนเปื้อนของสารเคมีที่อาจเป็นอันตรายถึงร้อยละ 64.2 ส่วนใหญ่เป็นฝรั่งดองบ๊วยที่มีสีเขียว และสีแดงเข้ม และยังมีสารกันราหรือวัตถุเคมีเจือปนอยู่ในผลไม้ถึงร้อยละ 32.1
โดย พญ. มาลินี สุขเวชชวรกิจ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ก็ ออกมาเตือนว่าการบริโภคผลไม้และอาหารที่มีสีสันสวยงามจากสารเคมี อาจส่งผลให้ท้องเสีย ท้องร่วง คลื่นไส้อาเจียน วิงเวียนศีรษะ หูอื้อ มีไข้ หายใจขัด เป็นบ่อเกิดมะเร็งและอาจทำให้เสียชีวิตได้ด้วยซ้ำ
ดังนั้น การเลือกผลไม้ควรพิจารณาจากสีและรูปร่างที่มีลักษณะเป็นธรรมชาติ และดูความสะอาดดี ๆ หากเป็นไปได้เตรียมผลไม้มารับประทานเองจะปลอดภัยที่สุดค่ะ

กินของเผ็ด ทำไมต้องเหงื่อออก
เรารับรู้รสหวานหรือขมได้จาก "ตุ่มรับรสบนลิ้น" แต่สำหรับรสเผ็ดที่อยู่ในพริกนั้น ไม่เพียงแต่จะกระตุ้นตุ่มรับรสเท่านั้นแต่ยังไปกระตุ้น "เยื่อเมือก" ทั้งหมดในปากอีกด้วย
เพราะฉะนั้นเวลาที่เรากินของเผ็ด ๆ เช่น แกงเหลือง จึงรู้สึกแสบร้อนไปหมดทั่วทั้งลิ้นและปาก แต่สงสัยอีกไหมว่าทำไมเวลากินของเผ็ด ๆ จะต้องมีเหงื่อออกมาด้วย ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า "สารแคปไซซิน" ที่มีอยู่ในพริก
ไปทำหน้าที่ขยายเส้นเลือด ช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น แล้วยังช่วยกระตุ้นประสาทในร่างกายทั้งหมดให้ทำงานอย่างแข็งขันอีกด้วย ด้วยเหตุนี้เองเวลากินของเผ็ด ๆ ร่างกายจึงร้อนขึ้นและมีเหงื่อออกมามากนั่นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554



หน้าแล้งเป็นหน้ามะนาวแพง คนไทยหันมาใช้ผลไม้รสเปรี้ยวในการปรุงอาหาร ...ก็หากขาดรสเปรี้ยวคงไม่ใช่อาหารไทยแล้ว ตะลิงปลิงจึงเป็นทางเลือกอย่างหนึ่ง

สรรพคุณทางยาของตะลิงปลิงมีมากมาย และสามารถนำมาใช้ได้ทั้งต้นดังนี้

ราก : แก้ร้อนใน ใช้ลดไข้ได้ บำรุงกระเพาะลำไส้ ใช้รักษาลำไส้ใหญ่อักเสบ แก้ริดสีดวงทวาร แก้คัน รักษาคางทูม ไขข้ออักเสบ สิว และเก๊าต์

ใบ : ใช้ดับพิษร้อนเช่นกัน เอามาตำแล้วพอกแก้คัน พอกที่คางทูมเพื่อดับพิษร้อน พอกรักษาโรคข้ออักเสบ ใช้ต้มดื่มรักษาลำไส้ใหญ่อักเสบ ซิฟิลิส ข้ออักเสบ เอาน้ำต้มใบให้คนมีไข้อาบ

ดอก : ชงเป็นชา แก้ไอ

ผล : บำรุงกระเพาะ เจริญอาหาร ลดไข้ แก้ไอ มีเสมหะ แก้ปวดมดลูก รักษาริดสีดวงทวาร ชาวเกาะชวาใช้ผลตะลิงปลิงกินกับพริกไทยเพื่อขับเหงื่อ แก้อาการซึมเศร้า

มีงานวิจัยในสิงคโปร์พบว่า สารสกัดทั้งเอทานอลทั้งน้ำจากใบตะลิงปลิงมีคุณสมบัติลดน้ำตาลในเลือดและไขมันในเลือด โดย เฉพาะไตรกลีเซอไรด์ในหนูทดลองอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นการกินน้ำต้มใบตะลิงปลิงแทนน้ำน่าจะเหมาะสำหรับคนเป็นโรคเบาหวาน และคนมีไตรกลีเซอไรด์สูง

ในฟิลิปปินส์ มีงานวิจัย ที่ใช้สารสกัดจากใบตะลิงปลิงในเอทานอล 10% มาทาผื่นคัน ปรากฏว่าได้ผลดี ทำให้ผื่นหายเร็วกว่าการใช้ยาแก้คันถึงเท่าตัว

วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2554

4 สุดยอดน้ำสมุนไพรประโยชน์เพียบ


ปัจจุบันมีการนำสมุนไพรมาทำเป็นเครื่องดืมมากมาย ซึ่งน้ำสมุนไพรเหล่านี้ล้วนแต่มากประโยชน์
1. น้ำใบบัวบก : น้ำ ใบบัวบกมีวิตามินเอสูงมาก เหมาะสำหรับคนที่ต้องใช้สายตาทำงานหนักอยู่เป็นประจำ เพราะจะช่วยบำรุงสายตาได้อย่างดี และยังมีแคลเซียมและวิตามินบี1 สูงกว่าผักชนิดอื่นอีกด้วย ประโยชน์อื่นๆ ของน้ำใบบัวบกคือ ใช้แก้ช้ำใน แก้ฟกช้ำดำเขียว แก้ร้อนใน บำรุงสมอง บำรุงหัวใจ ถ้าดื่มทุกวันเป็นเวลา 1 อาทิตย์จะช่วยลดความดันโลหิตได้ แก้แผลอักเสบและรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ทำให้เลือดแข็งตัวเร็ว ช่วยขับปัสสาวะ
2. น้ำว่านหางจระเข้ : ประโยชน์ของว่านห่างจระเข้อยู่ที่วุ้นซึ่งมีประสิทธิภาพในการสมานแผล ทำให้แผลหายเร็ว ช่วยเร่งการเจริญเติบโตของเซลล์ที่อยู่รอบๆ แผล และถ้าเอาไปทานก็จะช่วยบำรุงร่างกาย ทำให้หายอ่อนเพลีย ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ แต่เนื่องจากสารสำคัญในว่านหางจระเข้จะมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อใช้สดๆ ดังนั้นเมื่อตัดออกมาแล้วจึงควรใช้ทันที อย่าวางทิ้งไว้ และก่อนใช้ควรล้างยางสีเหลือๆ ออกให้หมดก่อน เพื่อไม่ให้เกิดอาการคันหรือแพ้ในภายหลัง
3. น้ำลูกเดือย : เป็นเครื่องดื่มที่อุดมไปด้วยฟอสฟอรัส จึงช่วยบำรุงกระดูกได้ดี เหมาะสำหรับเด็กที่กำลังเจริญเติบโต นอกจากนี้ยังมีวิตามินเอที่ช่วยบำรุงสายตา ช่วยให้เจริญอาหารและเหมาะที่เป็นอาหารสำหรับผู้ป่วยที่กำลังพักฟื้น คนสมัยก่อนใช้น้ำลูกเดือยเป็นยาขับปัสสาวะ แก้ร้อนใน บำรุงไต บำรุงกระเพาะอาหารและม้าม แก้อาหารคลื่นไส้อาเจียน และโรคท้องร่วงได้
4. น้ำขิง : อุดมไปด้วยแคลเซียมที่ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน สารเบต้าแคโรทีนในน้ำขิงสามารถช่วยต้านมะเร็งได้ และยังมีคุณสมบัติเป็นยาแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับเสมหะ คลื่นไส้อาเจียน เมารถหรือเมาเรือ ลดการจับตัวของลิ่มเลือด ช่วยเพิ่มการหลั่งน้ำดีและน้ำย่อย ทำให้ระบบย่อยทำงานได้ดีขึ้น

"แป้ง" อันตรายต่อหัวใจสตรี

การบริโภคอาหารประเภทแป้งเป็นตัวการเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจในสตรี โดยความเสี่ยงที่ว่านี้จะไม่เกิดกับเพศชาย ทีมวิจัยระบุว่า แม้ผู้ชายจะกินแป้งเท่ากับผู้หญิง แต่ไม่มีอันตราย เพราะร่างกายของผู้ชายดูดซึมแป้งได้ช้ากว่า
ในขณะที่ผู้หญิงกินเท่าไหร่ก็ได้รับไปเท่านั้น เมื่อแป้งเข้าสู่ร่างกายของผู้หญิงและผ่านการย่อยจนเป็นน้ำตาล โมเลกุลของน้ำตาลจะเข้าสู่เส้นเลือดยิ่งกินแป้งมากยิ่งได้รับน้ำตาลเข้าสู่ เส้นเลือดมากไปด้วย นำไปสู่อันตรายต่อหัวใจและหลอดเลือด
ตามสถิติพบว่า ผู้หญิงที่บริโภคอาหารประเภทแป้งมากกว่าประเภทอื่นๆต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะมีความเสี่ยงเกิดโรคหัวใจมากกว่าปกติถึง 2 เท่า
ยิ่งหากชอบกินขนมหวานหรืออาหารที่มีน้ำตาลสูง ความเสี่ยงก็ยิ่งสูงตามไปด้วย

7 อันตราย จากน้ำตาลทราย


น้ำตาลทรายถึงว่าจะว่าเป็นเครื่องปรุงที่ช่วยเพิ่มรสชาติของอาหารให้น่ารับ ประทานขึ้นแล้ว แต่ว่าหากรับประทานมากเกินไปก็จะทำให้เกิดโทษต่อร่างกายได้ ซึ่งอาจร้ายแรงจนคุณคาดไม่
อันตรายที่เกิดขึ้นกับเด็ก ในเด็กที่กินน้ำตาลมากเกินไปจะทำให้เป็นโรคกระดูกเปราะและฟันผุได้รวมถึงอาจกลายเป็นเด็กที่ไม่สมาธิในสิ่งที่ทำอยู่แล้วก็โกรธง่ายได้
เสี่ยงทำให้โรคติดเชื้อรุนแรง ที่เป็นเช่นนั้น เพราะเชื้อโรคทุกชนิดใช้น้ำตาลเป็นอาหาร
ร่างกายไม่สมดุลเนื่องจากการบริโภคน้ำตาลเชิงเดี่ยว ซึ่ง ได้แก่ น้ำตาลทราย น้ำผึ้ง น้ำตาลในน้ำผลไม้ น้ำตาลในนม จะซึมเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดเกิดภาวะเป็นกรดมากเกินไป จนร่างกายไม่สมดุล
ส่งผลต่อหัวใจ ไต และ ตับ เมื่อน้ำตาลมีมากเกินไป ก็จะกลายเป็นไขมัน ซึ่งจะถูกสะสมไว้ในอวัยวะภายใน และนานวันเข้า อวัยวะเหล่านี้ก็จะถูกห่อหุ้มด้วยไขมัน แล้วน้ำเมือกในร่างกายก็จะเริ่มผิดปกติ ทำให้ความดันเลือดสูงขึ้น
ส่วนเกินตามร่างกาย ไขมันที่เกิดจากน้ำตาลส่วนเกิน จะถูกสะสมในตับในรูปของไกลโคเจน เมื่อมีมากเกินไปตับจะส่งออกไปยังกระแสเลือด และเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน ไปสะสมตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ต้นแขน ต้นขา สะโพก เป็นต้น
ต้นเหตุเสี่ยงสารพัดโรค การทานน้ำตาลมากเกินไปจะทำให้มีอาการเป็นตะคริวเวลามีรอบเดือนเป็นสิว ผื่น แผลพุพอง ตกกระ แผลริดสีดวงทวารหนัก ไมเกรน เบาหวาน วัณโรค โรคหัวใจ และมะเร็งตับ
ผลต่อสมอง การทานน้ำตาลมากเกินไปจะมีผลต่อสมองทำให้รู้สึกง่วง หงาว หาว นอน อยู่ตลอด

วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554










เป็น ที่รู้กันว่า ห้องน้ำสาธารณะเป็นสถานที่ที่มีผู้คนมาใช้บริการจำนวนมากต่อวัน เพราะฉะนั้น จึงเป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อโรคจำนวนมาก แล้วหากคุณจำเป็นต้องเข้าห้องน้ำสาธารณะ จะทำอย่างไรจึงจะปลอดภัยจากเชื้อโรคเหล่านั้นได้


แหล่งเพาะเชื้อโรคชั้นยอด


อย่างที่รู้กันดีว่า ห้องน้ำเป็นที่ปลดปล่อยของเสียจากร่างกาย แน่นอนว่าภายในห้องน้ำย่อมมีเชื้อโรคอยู่มาก โดยเฉพาะห้องน้ำสาธารณะที่มีผู้คนมากหน้าหลายตาแวะเวียนไปใช้งาน ย่อมมีการแพร่กระจายของเชื้อโรคมากขึ้นด้วย Modern Mom มีคำยืนยันจาก พญ.อัญชุลี สิทธิเวช ผู้ชำนาญเฉพาะทางสูตินรีเวชาวิทยา และอนุสาขาเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ โรงพยาบาลวิภาวดี ว่า "ห้องน้ำสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นตามห้างสรรพสินค้า สถานที่ราชการ โรงพยาบาล หรือปั๊มน้ำมัน ในแต่ละวันมีผู้มาใช้บริการจำนวนมาก ทำให้ห้องน้ำสาธารณะหลายแห่งขาดความสะอาด ไม่ได้มาตรฐาน และเป็นแหล่งแพร่กระจายเชื้อโรค แม้บางที่จะได้รับการดูแลจากเจ้าหน้าที่บ้างก็ตาม แต่เพราะเป็นห้องน้ำที่มีผู้คนมาใช้บริการมากหน้าหลายตา ทำให้ผู้มาใช้บริการทีหลังไม่มีโอกาสรู้เลยว่า คนที่มาใช้บริการก่อนหน้าเรานี้มีเชื้อโรคอะไรอยู่ในร่างกายบ้าง หรือใช้ห้องสะอาดเพียงใด และเป็นสาเหตุให้มีโอกาสติดเชื้อโรคจากต้องน้ำสาธารณะได้ โดยไม่รู้ตัว" คุณหมอยังบอกอีกว่า เชื้อโรคในห้องน้ำสาธารณะสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ เชื้อโรคกลุ่มโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น เชื้อหนองใน เชื้อเริม เป็นต้น ส่วนอีกกลุ่มเป็นเชื้อที่ทำให้เกิดโรคระบบทางเดินอาหาร เช่น เชื้ออุจจาระร่วง เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดเอ เป็นต้น


เชื้อพวกนี้แฝงตัวอยู่ที่ไหน คำตอบคืออาจแฝงอยู่ตามจุดต่าง ๆ ของห้องน้ำ เช่น ชักโครก อ่างล้างมือ หรือแม้กระทั่งลูกบิดประตู แต่โอกาสที่จะติดเชื้อพวกนี้จนทำให้เกิดโรค หรือเป็นอันตรายได้ ขึ้นอยู่กับว่าได้สัมผัสกับเชื้อในปริมาณที่มากพอหรือไม่ โดยเชื้อโรคจะซึมเข้าสู่ร่างกายผ่านทางผิวหนังที่มีแผล หรือสัมผัสแล้วไปจับอาหารเข้าปาก ก็เป็นอีกหนึ่งหนทางที่ได้รับเชื้อโรคเต็ม ๆ


นอกจากนี้ ห้องน้ำสาธารณะบางแห่งเมื่อเข้าไปใช้บริการแล้ว ยังไม่มีบริการกระดาษทิชชู ไม่มีน้ำราด น้ำไม่ไหล ฯลฯ ทำให้ผู้มาใช้ละเลยการทำความสะอาด ฉะนั้น หากจำเป็นต้องใช้ห้องน้ำสาธารณะเวลาออกไปสถานที่ต่าง ๆ ก็ต้องใส่ใจเรื่องความปลอดภัยเป็นสำคัญ โดยเฉพาะคุณผู้หญิงมักจะมีโอกาสเสี่ยงที่จะติดเชื้อโรค จากการใช้ห้องน้ำสาธารณะได้ง่ายกว่าผู้ชาย จึงจำเป็นต้องดูแลตัวเองและหาทางป้องกันให้ดีด้วย


เทคนิคใช้ห้องน้ำสาธารณะให้ปลอดภัย


เมื่อจะเข้าห้องน้ำสาธารณะต้องนึกถึงเรื่องความสะอาดเป็นอันดับแรก แต่เราจะใช้ห้องน้ำสาธารณะอย่างไรให้ห่างไกลเชื้อโรคร้าย เรามีวิธีปฏิบัติง่าย ๆ มาฝากกัน


อย่าสัมผัสโดยตรง ทุกครั้งที่เข้าห้องน้ำสาธารณะ ถ้าเป็นไปได้ควรให้ร่างกายสัมผัสกับสิ่งต่าง ๆ ในห้องน้ำน้อยที่สุด เช่น เมื่อเปิดประตูเข้าไป อาจจะใช้ทิชชูวางบนลูกบิดแล้วหมุนเข้าไป เป็นต้น


ทำความสะอาดก่อนนั่ง ก่อนนั่งก็ควรทำความสะอาดที่นั่ง ด้วยกระดาษทิชชูแบบเปียกชนิดฆ่าเชื้อ หรือพกกระดาษรองนั่งไปปูบนฝาชักโครกก่อนทำธุระ และระวังอย่าให้แผ่นรองเปียกน้ำเด็ดขาด เพราะเชื้อโรคอาจจะแทรกซึมมากับน้ำได้


ใช้เวลาน้อยที่สุด ไม่ต้องถึงขั้นจับเวลา แต่ควรใช้เวลาในการทำกิจธุระในห้องน้ำให้สั้นที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ ถ้าจำเป็นต้องใช้ชักโครก ควรเลือกดูห้องที่สะอาดที่สุด และหลังทำธุระเสร็จ ควรปิดฝาชักโครกก่อนกด เพื่อป้องกันเชื้อโรคแพร่กระจายในอากาศ


ไม่เหยียบโถส้วม หลายคนใช้บริการห้องน้ำสาธารณะผิดวิธี โดยใส่รองเท้าขึ้นไปนั่งบนฝารองนั่ง เพราะคิดว่าจะทำให้ไม่สัมผัสกับเชื้อโรค แต่จริง ๆ แล้ว ระหว่างที่ทำธุระอาจจะมีการกระเด็นของน้ำในโถ ซึ่งเป็นที่รวมเชื้อโรคมาเปื้อนได้มากกว่าการนั่งธรรมดา


ไม่ตักน้ำที่เปิดไว้ การใช้น้ำล้างทำความสะอาด ไม่แนะนำให้ตักในส่วนที่มีอยู่ในถังเดิมใช้ แต่ควรรองจากก๊อกโดยตรง เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่สะสมอยู่ในถังน้ำ เพราะบางคนเอามือจุ่มล้างในถัง หากเป็นสายฉีดก็ควรฉีดน้ำให้ไหลทิ้งประมาณ 1 นาที เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่ปะปนบริเวณรอบ ๆ สายฉีดได้


ล้างมือทุกครั้งหลังเสร็จธุระ เมื่อเข้าห้องน้ำสาธารณะเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพื่อไม่ให้เชื้อโรคติดมากับมือของเรา ควรล้างมือให้สะอาด โดยเริ่มต้นล้างมือด้วยน้ำสะอาด และเริ่มล้างตั้งแต่มือแขนไปจนถึงข้อศอก ใช้มือแต่ละข้างถูบริเวณหลังมือของอีกข้างหนึ่ง แล้วถูฝ่ามือทั้งสองข้างขัดสิ่งสกปรกบริเวณซอกเล็บ ข้อนิ้วและง่ามมือ ล้างสบู่ออกด้วยน้ำสะอาด และเช็ดมือให้แห้งด้วยกระดาษเช็ดมือ หากไม่มีสบู่ ก็ใช้น้ำสะอาดล้างซ้ำหลาย ๆ ครั้ง


การใช้ห้องน้ำสาธารณะ นอกจากจะต้องคำนึงถึงสุขอนามัยของตัวเองแล้ว เราควรคำนึงถึงความสะอาดสำหรับผู้ที่จะมาใช้ต่อด้วย เนื่องจากเชื้อโรคต่าง ๆ มีการพัฒนาสายพันธุ์มากมาย การใช้ห้องน้ำสาธารณะอย่างถูกต้องและระมัดระวัง ก็จะช่วยป้องกันเชื้อโรคต่าง ๆ เหล่านั้นได้

วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

วิตามินอี ความสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม


วิตามินเป็นสารอินทรีย์ที่มีอยู่ในอาหารที่จำเป็นสำหรับร่างกายคนเราอย่างยิ่ง ช่วยให้ร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและต่อสู้กับความเจ็บป่วยได้
ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์รวบรวมวิตามินได้ประมาณ 13 ชนิด หนึ่งในนั้นได้แก่ วิตามินอี ที่เรามักได้ยินกิตติศัพท์ร่ำลือในด้านการป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความแก่ชรา ดังนั้นนอกจากในอาหารแล้ว ยังพบว่ามีการสกัดวิตามินอีมาผสมในเครื่องสำอางหลายชนิด คราวนี้จึงขอพาคุณทำความรู้จักกับวิตามินอี และประโยชน์ต่อร่างกายคนเราให้มากขึ้น
วิตามินอี คืออะไร?

วิตามินอี หรือ โทโคเฟอรอล (tocopherol) เป็นวิตามินชนิดหนึ่งที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับเป็นประจำทุกวัน มีลักษณะเป็นน้ำมันสีเหลือง และละลายได้ดีในไขมัน เช่นเดียวกับวิตามินเอ วิตามินดี และวิตามินเค วิตามินอี มีหลายชนิด ได้แก่ แอลฟา เบตา แกมมา และซิกมา โทโคเฟอรอล โดยชนิดที่ออกฤทธิ์ได้ดีที่สุด คือ แอลฟาโทโคเฟอรอล (alpha-tocopherol) ประโยชน์ของวิตามินอีต่อร่างกาย
เนื่องจากผนังของเซลล์ต่างๆ ในร่างกายมีไขมันที่ไม่อิ่มตัวเป็นโครงสร้างหลัก โครงสร้างที่ว่านี้จะถูก ทำลายได้ง่ายด้วยกระบวนการออกซิเดชัน (oxidation) และส่งผลให้เกิดสารอนุมูลอิสระ (free radicals) ชนิดต่างๆ ตามมา ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อโครงสร้างภายในเซลล์ที่สัมผัสกับสารอนุมูลอิสระ วิตามินอี เป็นสารต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันและอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ (potent antioxidant) ซึ่งมีผลในการป้องกันการทำลายเซลล์ หรือลดความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ ที่มีสาเหตุมาจากอนุมูลอิสระได้ นอกจากนี้ยังมีผลช่วยปกป้องการเสื่อมสลายของเยื่อหุ้มเซลล์ (stabilize) ที่บุอยู่ตามอวัยวะต่างๆ เช่น ผิวหนัง ตา ตับ เต้านม หลอดเลือด และเม็ดเลือดแดง ทำให้อวัยวะดังกล่าวทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและมีความคงทนมากขึ้นด้วย วิตามินอีกับโรคมะเร็ง
คุณสมบัติที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระของวิตามินอี นอกจากจะช่วยป้องกันเซลล์จากการทำลายของปฏิกิริยาออกซิเดชันและการเกิดอนุมูลอิสระแล้ว วิตามินอียังช่วยป้องกันการเกิดสารไนโตรซามีน (nitrosamines) ตัวการหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง โดยเกิดจากการทำปฏิกิริยาของสารจำพวกไนไตรท์ที่มีในอาหารที่รับประทานเข้าไปภายในกระเพาะอาหาร และยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายอีกด้วย นอกจากนี้การศึกษาในห้องปฏิบัติการพบว่าวิตามินอียังมีผลช่วยยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งได้ วิตามินอีกับการป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง
กระบวนการออกซิเดชันของไขมันชนิด LDL (low density lipoprotein) ซึ่งเป็นไขมันชนิดเลวในเลือดจะ มีผลทำให้เส้นเลือดเกิดความเสียหายอย่างมาก มีหลักฐานที่แสดงว่าวิตามินอี มีคุณสมบัติช่วยลดการเกิดกระบวนการที่ว่านี้ และช่วยลดการเกาะตัวกันของเกล็ดเลือด (platelet aggregation) ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจดีขึ้น และยังช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคระบบหลอดเลือดหัวใจ รวมถึงหลอดเลือดสมองด้วย โดยได้มีการศึกษาในประเทศอังกฤษพบว่าคนที่ได้รับวิตามินอีอย่างน้อยวันละ 100 IU หลังการผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจจะช่วยป้องกันการสะสมของไขมันที่ผนังเลือดได้ และคนที่ได้รับวิตามินอีประมาณวันละ 400-800 IU อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อยปีครึ่งจะช่วยป้องกันอัตราการเกิดโรคหัวใจวายได้ถึง 77%
วิตามินอีกับโรคเบาหวาน

เชื่อกันว่าสาเหตุที่คนเป็นโรคเบาหวานจะมีการสะสมของสารอนุมูลอิสระเนื่องจากกระบวนการเผาผลาญสารอาหารในร่างกายผิดปกติ นอกจากนี้แล้วยังมีอัตราการตายจากการเกิดโรคแทรกซ้อนจากโรคหลอดเลือดหัวใจได้สูง มีงานวิจัยที่แสดงว่าคนเป็นโรคเบาหวานที่รับประทานวิตามินอีเพียงวันละ 100 IU จะช่วยทำให้การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ได้ดี และยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงของหลอดเลือดอีกด้วย วิตามินอีกับโรคต้อกระจก
โรคต้อกระจก (cataracts) เป็นความผิดปกติของเลนส์ตาทำให้มองภาพไม่ชัดเจน และอาจตาบอดได้ โดยเชื่อว่าเกิดจากปฏิกิริยาออกซิเดชันที่ผิดปกติของโปรตีนในเลนส์ตา มีการศึกษาพบว่าสารที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระจำพวกวิตามินอีสามารถช่วยป้องกัน และชะลอการเกิดของโรคต้อกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่พบว่าสารในกลุ่มนี้ไม่ช่วยให้เกิดผลดีได้ในคนที่สูบบุหรี่ โดยพบว่าการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของการเกิดโรคต้อกระจก อย่างไรก็ดีจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลไกของสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินอีเกี่ยวกับโรคต้อกระจก วิตามินอี สารอาหารที่ช่วยชะลอความแก่
สารอนุมูลอิสระจะมีผลทำให้เซลล์เกิดความเสียหายและตายได้ในที่สุด ซึ่งนอกจากจะเป็นสาเหตุทำให้ ร่างกายอ่อนแอและแก่เร็วกว่าปกติแล้ว หากเกิดที่สมองก็จะทำให้มีโอกาสเป็นโรคเรื้อรังทางสมองต่างๆ เช่น โรคสมองเสื่อม (Alzheimer’s disease) โรคพาร์คินสัน (Parkinson’s disease) เป็นต้น จากการศึกษาทางคลินิกพบว่าผู้ที่รับประทานวิตามินอี 1,300 IU ต่อวันอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปีจะช่วยชะลอการเกิดโรคสมองเสื่อมจากการอุดตันของเส้นเลือดในสมองได้ วิตามินอีช่วยแก้ไขข้อบกพร่องของระบบสืบพันธุ์ มีการศึกษาพบว่าผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่ได้รับวิตามินอีวันละ 800 IU อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 1 เดือน สามารถช่วยลดอาการต่างๆ เช่น อาการร้อนวูบวาบ นอนไม่หลับ เหนื่อยล้า ซึมเศร้า และเจ็บหน้าอกได้ นอกจากนี้ในผู้ชายที่มีระบบสืบพันธุ์ไม่สมบูรณ์ พบว่าเมื่อได้รับวิตามินอี วันละ 200 IU อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 3 เดือน จะมีโอกาสมีบุตรสูงขึ้น เนื่องจากวิตามินอีช่วยลดระดับของอนุมูลอิสระในน้ำอสุจิ จึงทำให้ผนังเซลล์อสุจิแข็งแรงขึ้น และส่งผลให้มีอัตราการตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นถึง 30% แต่ก็อาจไม่ปรากฏผลหากคนนั้นเป็นคนสูบบุหรี่ เนื่องจากการสูบบุหรี่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งจะทำลายความแข็งแรงของอสุจิ และอาจทำให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายเสื่อมโทรมลง
วิตามินอีกับผิวพรรณ
สถาบันโรคผิวหนังหลายแห่งมีการวิจัยพบว่าวิตามินอีช่วยป้องกันผิวจากการไหม้เกรียม ริ้วรอยเหี่ยวย่นและรอยแผลได้ดี ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานหรือการทาที่ผิวหนังโดยตรง เนื่องจากการเกิดแผลหรือการอักเสบบนผิวหนัง หรือการถูกแสงแดดเผาไหม้จะทำให้เกิดการสะสมของอนุมูลอิสระขึ้น วิตามินอีจะทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำที่ดูดซับสารอนุมูลอิสระก่อนที่จะทำให้เนื้อเยื่อต่างๆ เสียหาย จึงช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของผนังเซลล์ทำให้เซลล์ผิวแข็งแรงขึ้น และช่วยให้ทนต่อรังสี UV ในแสงแดดได้ดีขึ้น ดังนั้นผู้ผลิตเครื่องสำอางจึงนิยมนำวิตามินอีมาใช้เป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์
จะเกิดอะไรขึ้นหากได้รับวิตามินอีมากเกินไป เนื่องจากวิตามินอีไม่สามารถละลายในน้ำได้ ร่างกายจึงไม่สามารถขับวิตามินอีออกจากร่างกายได้ทาง ปัสสาวะดังเช่นวิตามินซี หรือวิตามินบี โดยร่างกายจะขับวิตามินอีส่วนเกินบางส่วนออกมาทางอุจจาระ ดังนั้นหากรับประทานวิตามินอีมากเกินไปจะสะสมในร่างกาย นำผลเสียคือ อาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ไปจนถึงกล้ามเนื้ออ่อนแรง จึงแนะนำว่าไม่ควรรับประทานอาหารเสริมประเภทวิตามินอีมากเกินกว่า 1,500 IU ต่อวัน
อาหารชนิดใดบ้างที่เป็นแหล่งของวิตามินอี? แหล่งอาหารที่มีวิตามินอีอยู่ในปริมาณสูง ได้แก่ นม ไข่ ถั่ว ปลา เนื้อสัตว์ เช่น เป็ด ไก่ น้ำมันพืชต่างๆ ผักที่กินใบ เช่น ผักกาดหอม ผักโขม เป็นต้น ถึงแม้ว่าวิตามินอีจะค่อนข้างทนต่อความร้อนและไม่ละลายในน้ำก็ตาม แต่การประกอบอาหารที่ใช้ความร้อนสูงๆ เช่น การทอด รวมทั้งการเหม็นหืนของน้ำมันก็อาจทำให้วิตามินอีสูญเสีย สภาพไปได้

จะเห็นว่าวิตามินอี มีอยู่ในอาหารหลากหลายชนิด ดังนั้นถ้าได้เลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสมกับ ความต้องการของร่างกายแล้ว...หนทางสู่การมีสุขภาพดีก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมค่ะ...

10 ความลับสุดยอดที่คุณไม่รู้เกี่ยวกับร้านอาหารริมทาง


ผมเองเป็นเจ้าของร้านอาหาร มีประสบการณ์ต่างๆ มามากมาย อยากมา share ให้คุณทั้งหลายได้ อ่านเล่นๆ ลองสังเกตุดูนะว่า มันจริงมั้ย?
1. แก้วน้ำล้างแบบไม่ใช้น้ำยาล้างจาน เกือบทุกร้าน 90% จะล้างแบบจ้วงๆ น้ำสักสองสามครั้งเป็นอันเสร็จพิธี แล้วมันจะสะอาดมั้ยเนี่ย ยิ่งหวัด 2009 กำลังระบาดอยู่ด้วยนะ...เสียว จริงๆ
2. ประหยัดน้ำล้างจานกันจัง กะละมังเดียว ล้างเกือบ 200 จาน ร้านเหล่านี้มักมีแหล่งน้ำน้อย หรือต้องจ่ายตังค่าน้ำแพง
3. ตะเกียบเก๊าส์เก่า บางร้านเป็นพลาสติกดั๊มดำ บางร้านใช้ไม้ไผ่ขึ้นราดำ....เฮ้อ... เศร้าง่ะ
4. กระทะผัดแล้วผัดอีก จนมีแต่กลิ่นไหม้ ระหว่างจานแค่ราดน้ำแล้วใช้ตะหลิวเขี่ยกระทะดัง เชี๊ยะ เชี๊ยะ เชี๊ยะ เป็นอันเสร็จ เรียกว่าไม่ล้งไม่ล้างมันแหละ...

5. น้ำเปล่าที่ให้กินฟรีน่ะ น้ำก๊อกล้วนๆ บางร้านใจดีใช้น้ำก๊อกมาต้มกะใบชา โอเคล่ะครับ ถือว่าน้ำประปาดื่มได้? (จิงอะ?) 6. ทำไมมีแต่ข้าวเสาไห้ง่ะ มีข้าวหอมมะลิบ้างไหมครับ หรือว่าคนรุ่นใหม่กินข้าวหอมมะลิไม่เป็น

7. เกือบทุกร้านไม่ใช้น้ำปลาทิพรสจริง เอาน้ำปลาถูกๆ มากรอกใส่ขวดทิพรสเฉยเลย ถ้าโชคดีก็เจอร้านที่ เปลี่ยนพริกทุกวัน โชคร้ายเจอพริก ? ทับถมกันข้าม ปี!
8. ผัดกะเพรายอดฮิตของทุกท่าน มีส่วนผสมของผงชูรสประมาณ 1 ช้อนชาพูนๆ (ถ้าคุณกินทุกวัน ปีนึง 300 กว่าช้อนชา) มิน่าแชมพูหยุดการหลุดร่วงของเส้นผมจึงขายดี๊ ดี อีกอย่างมีร้านไหนล้างกะเพราบ้าง สังเกตุมาหลายร้านแล้ว เด็ดจากกิ่งมาผัดไม่เคยเห็นร้านไหนล้างเลย แล้วขี้ดิน สารพิษฯลฯ เต็มๆครับ แถมหมูก็ให้แม่ค้าที่ตลาดใส่เครื่องปั่นออกมาเสียละเอียด ไม่มี การล้งการล้างอย่างเด็ดขาด! แหวะ กินกันเข้าไป

9. น้ำมันที่ใช้ผัด เป็นน้ำมันเก่า ( ผ่านการทอดจนใช้ไม่ได้แล้ว) เขาจะเก็บรวบรวมใส่ปี๊บเก่าๆ (ขึ้นสนิมง่ะ) และขายต่อให้พ่อค้านำไปผ่านกรรมวิธี แล้วนำมาแบ่งถุงขาย... (มา เล็ง ทั้ง นั้น เลย ค๊าบ พี่น้อง! )


10. เคยกินหมูนุ่มๆ เนื้อนุ่มๆ มั้ยครับ แหะๆ ทั้งหมดนั้นเค้าไม่ได้หมักด้วยกรรมวิธีธรรมชาติหรอกครับ ใช้ผงปีศาจ (เพื่อนผมเรียกผงปีศาจฮะ) มาหมักให้นุ่มเร็วๆ ที่สำคัญไม่มียี่ห้อไหนผ่านการรับรองด้วย อิอิ อยากรู้ว่าแรงแค่ไหน ให้ตักใส่มือสัก 1/4 ช้อนชาครับหยดน้ำลงไป 1 หยด กำไว้ 1 นาที หนังมือไม่ลอกก้อแสดงว่าคุณไม่ใช่มนุษย์แล้วล่ะคร๊าบบบบ
6 วิธีพัฒนาตนเองสู่ความเป็นเลิศ
‘วัยรุ่น’ เป็นวัยที่มีศักยภาพในการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากผู้ปกครองจะพยายามส่งเสริมด้านสติปัญญา หรือ IQ ให้แก่วัยรุ่นแล้ว การพัฒนาด้าน EQ ก็เป็นสิ่งสำคัญ ‘เกร็ดน่ารู้’ สัปดาห์นี้ มีวิธีพัฒนาตนเองของวัยรุ่นสู่ความเป็นเลิศ มาฝากกัน
1.ตั้งเป้าหมาย เพราะชีวิตที่ประสบความสำเร็จ คือ ชีวิตที่มีเป้าหมาย ไม่ว่าจะเรื่องเล็ก เรื่องใหญ่ รวมทั้งการใช้เวลาอย่างมีคุณค่า เพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ต้องการ
2.มีวินัย เป็นหลักปฏิบัติที่ช่วยให้ทำงานสำเร็จ เอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ได้ด้วยเวลาอันสั้น เป็นตัวกำหนดการเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบหน้าที่ที่ได้รับ และช่วยควบคุมตนเองได้ดี
3.สร้างความมั่นใจ ถือเป็นก้าวแรกสู่ความสำเร็จและเป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิต ทั้งเรื่องเรียนและการทำงาน นอกจากจะส่งผลให้เป็นคนกล้าแสดงออก และกล้าเผชิญกับเรื่องต่างๆ อย่างมั่นใจแล้ว ยังทำให้บุคลิกภาพดีด้วย
4.รับฟังความคิดเห็น และคำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่นอย่างมีเหตุผล ขณะเดียวกันเมื่อพบกับปัญหา ควรหาทางออกที่เหมาะสม เพื่อสร้างความร่วมมือที่ดีในการทำงาน
5.มองโลกในแง่ดี มีความคิดเชิงบวก จะส่งผลให้สุขภาพจิต สุขภาพกายดี ความคิดโปร่งใส สุดท้ายจะตามมาด้วยความสุขและความสำเร็จ
6.ใช้ชีวิตให้สมดุล ด้วยการเดินสายกลาง อย่าทุ่มเทชีวิตให้ด้านใดด้านหนึ่ง จนด้านอื่น ๆ ขาดการดูแล รู้จักใช้ชีวิตให้สมดุล เพื่อกระตุ้นให้ชีวิตมีความสุข มีความคิดสร้างสรรค์ และมีพลังในการเรียน การทำงานต่อไป การพัฒนาด้านอารมณ์และจิตใจ ควบคู่ไปกับ IQ นั้น ถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การใช้ชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพ และนำไปสู่ความสำเร็จอย่างแท้จริง.
อาหาร 2 ชนิดที่ไม่ควรกินร่วมกัน

1. เหล้าขาวกับลูกพลับ - ห้ามรับประทานด้วยกัน จะทำให้เป็นพิษ
2. หัวไชเท้ากับเห็ดหูหนู ทั้งดำและขาว - ห้ามรับประทารด้วยกัน จะเป็นโรคผิวหนัง
3. เต้าหู้กับน้ำผึ้ง - ห้ามรับประทานด้วยกันจะทำให้หูหนวก
4. มันฝรั่งกับกล้วยทุกชนิด - ห้ามรับประทานรวมกัน จะทำให้หน้าเป็นฝ้า
5. กล้วยกับเผือก - ห้ามรับประทานด้วยกัน จะทำให้ท้องอืด
6. ถั่วลิสงกับฟักทอง - ห้ามรับประทานรวมกัน จะทำให้ทำร้ายร่างกายและลำไส้อักเสบ
7. มันเทศกับลูกพลับ - ห้ามรับประทานรวมกัน จะทำให้เกิดนิ่วในกระเพาะอาหาร
8. มันฝรั่งกับลูกพลับ - ห้ามรับประทานรวมกัน จะทำให้เป็นนิ่วในท่อปัสสาวะ
9. หัวไชเท้ากับผลไม้ทุกชนิด - ห้ามรับประทานรวมกัน จะทำให้เกิดคอพอก
10. น้ำเต้าหู้ นมสด - ห้ามใส่ไข่ เพราะจะทำให้ท้องผูกและเส้นเลือดตับ
11. ผักป๋วยเล้ง - ห้ามรับประทานกับเต้าหู้ จะทำให้เป็นนิ่วที่ไขสันหลัง
12. กล้วยมะละกอ แตงโม - ห้ามรับประทานด้วยกัน จะทำให้เป็นโรคไตกับโรคเบาหวาน
13. ส้มกับมะนาว - ห้ามรับประทานด้วยกัน จะทำให้กระเพาะทะลุ
14. เหล้าขาวกับเบียร์ - ห้ามรับประทานด้วยกัน จะทำให้เส้นเลือดในสมองแตก
15. ปลาทุกชนิด - ห้ามต้มกับผักกาดดอง จะทำให้เป็นโรคมะเร็ง
16. ขิงดอง - ห้ามเข้าตู้เย็น กินแล้วจะเป็นโรค มะเร็ง
17. น้ำเต้าหู้ - ห้ามใส่น้ำตาลแดง จะทำให้เสียวิตามิน
18. น้ำข้าว - ห้ามใส่กับนม จะทำให้เสียวิตามิน
19. น้ำผึ้ง - ห้ามชงด้วยน้ำที่ร้อนจะทำให้เสียวิตามิน
20. บวบ ซือกวย ไชเท้า - ห้ามรับประทานวันเดียวกัน จะทำให้เป็นเบาหวาน ทำให้เชื้อสุจิอ่อนไม่แข็งแรง
21.มังคุดกับน้ำตาล- กินร่วนกันจะทำให้เสียชีวิต

วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

14 ที่สุด ในชีวิต!
1. ศัตรูที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในชีวิตเรา คือ ตัวเราเอง
2. ความล้มเหลวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา คือ ความอวดดี
3. การกระทำที่โง่เขลาที่สุดในชีวิตเรา คือ การหลอกลวง
4. สิ่งที่แสนสาหัสที่สุดในชีวิตเรา คือ ความอิจฉาริษยา
5. ความผิดพลาดมหันต์ที่สุดในชีวิตเรา คือ การยอมแพ้ตนเอง
6. สิ่งที่เป็นอกุศลที่สุดในชีวิตเรา คือ การหลอกตัวเอง
7. สิ่งที่น่าสังเวชที่สุดในชีวิตเรา คือ การถดถอยของตัวเอง
8. สิ่งที่น่าสรรเสริญที่สุดในชีวิตเรา คือ ความอุตสาหะวิริยะ
9. ความล้มละลายที่สุดในชีวิตเรา คือ ความสิ้นหวัง
10. ทรัพย์สมบัติที่มีค่าที่สุดในชีวิตเรา คือ สุขภาพที่สมบูรณ์
11. หนี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา คือ หนี้บุญคุณ
12. ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา การให้อภัยและความเมตตา
13. ข้อบกพร่องที่ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตเรา คือ การมองโลกในแง่ร้ายและไร้เหตุผล
14. สิ่งที่ทำให้อิ่มอกอิ่มใจมากที่สุด คือ การให้ทาน

วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ดื่มชาอย่าใส่นม รักษาคุณค่าต่อหัวใจ
เอเจนซี - นักวิจัยเมืองเบียร์ชี้การเติมนม จะทำให้คุณประโยชน์ในการลดความเสี่ยงโรคหัวใจจากการดื่มชาขาดหายไป
งานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า ชาช่วยทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น และทำให้ เส้นเลือดใหญ่ขยาย อย่างไรก็ดี นักวิจัยจากโรงพยาบาลคาริตของมหาวิทยาลัยเบอร์ลิน เยอรมนี พบว่านมทำให้ประโยชน์ของชาในการปกป้องโรคหัวใจหมดไป
ชาเป็นเครื่องดื่มที่มีการบริโภคมากที่สุดทั่วโลกรองจากน้ำ ดังนั้น ประโยชน์ของชาจึงมีความสำคัญในแง่สาธารณสุข กระนั้น จนถึงขณะนี้กลับไม่มีใครรู้ว่า การเติมนมลงไปในชาจะให้ผลอย่างไร ดร.เวเรนา สแตงล์ ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจของโรงพยาบาลคาริต และทีมนักวิจัยพบว่า โปรตีน casein ในนมทำให้ปริมาณสาร catechin ที่มีฤทธิ์ปกป้องโรคหัวใจลดลง
นักวิจัยทีมนี้เชื่อว่า ผลการค้นพบซึ่งตีพิมพ์อยู่ในวารสารยูโรเปียน ฮาร์ต เจอร์นัล สามารถอธิบายได้ว่า เหตุใดประเทศอย่างอังกฤษที่ประชาชนนิยมดื่มชาใส่นม จึงไม่มีสถิติว่าการดื่มชาช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดหัวใจ
นักวิจัยเปรียบเทียบผลต่อสุขภาพจากการดื่มน้ำอุ่น ชาแบบเติมนมและไม่เติมนมกับผู้หญิงสุขภาพดี 16 คน โดยใช้อุลตราซาวด์ดูเส้นเลือดใหญ่บริเวณข้อมือก่อนและหลังดื่มชา 2 ชั่วโมง
สิ่งที่พบคือ ชาดำทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับการดื่มน้ำอุ่น แต่เมื่อเติมนมลงไป คุณประโยชน์นั้นจะหายไปทันที
การทดสอบกับหนูได้ผลลัพธ์แบบเดียวกัน กล่าวคือการกินชาดำ กระตุ้นให้ร่างกายของหนูผลิตสารไนตริกออกไซด์ที่ช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว แต่เมื่อเติมนมลงไปในชา ปรากฏว่าไม่มีปฏิกิริยาดังกล่าวเกิดขึ้น
นอกจากนั้น ยังเป็นที่รู้กันว่าชามีฤทธิ์ต่อต้านโรคมะเร็ง การศึกษานี้จึงอาจมีนัยต่อเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
"การที่นมทำให้กิจกรรมชีวภาพของสารประกอบในชาเกิดการเปลี่ยนแปลง จึงมีแนวโน้มว่า ผลในการต่อต้านเนื้อร้ายของชาอาจมีปฏิกิริยากับนมเช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงควรศึกษาต่อไปเพื่อหาความเชื่อมโยงระหว่างการดื่มชากับการต่อต้านมะเร็งว่า การเติมนมส่งผลแบบเดียวกับกรณีนี้ด้วยหรือไม่" ดร.สแตงล์ทิ้งท้าย

วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

นิทานเรื่อง บัณฑิตทั้งสอง (The Two Intelligent Person of The Village)


There were two intelligent persons living in the same village. Both were very intelligent and clever. But one was a man, another was a woman.
มีบัณฑิตสองคนอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ทั้งสองต่างมีสติปัญญาเป็นเลิศเหมือนกัน ต่างกันตรงที่อีกคนเป็นชาย อีกคนเป็นหญิง


One day, the intelligent woman had to marry a man. In those days, the parent arranged the marriage and their children had no right to refuse.
อยู่มาวันหนึ่ง บัณฑิตสาวต้องแต่งงาน ในสมัยก่อนการการแต่งงาน พ่อแม่ ต้องจัดการให้ ไม่มีการปฏิเสธThe groom was a man that her parent chose to be her husband. They were engaged since they were very young.
เจ้าบ่าวของบัณฑิตสาวเป็นคู่หมั่นที่พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายจัดการให้ โดยการหมั้นกันตั้งแต่สมัยที่ทั้งสองยังเป็นเด็ก


The intelligent woman did not agree to marry this man because he was very stupid, not as intelligent as her. When the wedding day came, the intelligent woman could not marry the stupid man. So, at night, she went out to commit suicide by jumping into the river.
บัณฑิตสาวไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานในครั้งนี้ เพราะคู่หมั้นของตนโง่เขลาเบาปัญญา ไม่ฉลาดเหมือนนาง เมื่อวันแต่งงานมาถึง บัณฑิตสาวทนอับอายไม่ได้ที่ต้องแต่งงานกับคนที่โง่เขลากว่าตน คืนนั้นนางจึงหนีออกจากบ้านเพื่อจะไปกระโดดน้ำตาย


The intelligent woman learned from the text that a beautiful and intelligent woman marrying a stupid man was like a beautiful flower on buffalo dung.
บัณฑิตสาวเคยเรียนรู้จากตำราว่า หญิงงามและฉลาดหากต้องแต่งงานกับชายหนุ่มที่โง่เขลาก็เหมือนกับการนำดอกไม้ไปปักบนกองขี้ควายThe intelligent man saw that the intelligent woman went out and was very sad. He knew immediately that she was going to commit suicide. So, he ran quickly to stop her.
บัณฑิตหนุ่มเห็นนางหนีออกจากบ้านด้วยความเศร้าหมองก็รู้ทันทีว่า นางกำลังหนีการแต่งงานเพื่อไปฆ่าตัวตาย บัณฑิตหนุ่มจึงรีบวิ่งไปดักหน้าเพื่อไม่ให้นางฆ่าตัวตาย



The intelligent man arrived the river before the intelligent woman did. He disguised himself as the old man bailing the water out of the river.

บัณฑิตหนุ่มไปถึงแม่น้ำก่อน แล้วแกล้งปลอมตัวเป็นคนแก่กำลังวิดน้ำออกจากแม่น้ำOnce the intelligent woman arrived the river, it was already dark, so she could not clearly see the intelligent man. She thought he was an old man. She saw that he was bailing the water out of the river. She was amazed so, she asked “Why are you bailing the water out”

บัณฑิตสาวมาถึง เพราะความมืดนางจึงไม่ทันสังเกต คิดว่าเป็นคนแก่จริง ๆ นางเห็นกำลังวิดน้ำออกจากแม่น้ำด้วยความสงสัยจึงถามไปว่า “ท่านกำลังวิดน้ำเพื่ออะไร




The intelligent man disguised his voice as that of old man and said “I want to cross to the other side, but I have no boat. I have to bail the water out until gets dry so that I can cross to the other side.”
บัณฑิตหนุ่มดัดเสียงให้เป็นคนแก่และตอบกลับไปว่า “ข้าต้องการจะข้ามไปฝั่งตรงข้าม แต่ไม่มีเรือจึงต้องวิดน้ำให้แห้งก่อนจึงจะข้ามไปได้


When the intelligent woman heard the intelligent man’s words, she thought that even though her groom was stupid but there were a lot people stupider than him. So, she turned back home and did not want to commit suicide anymore.
เมื่อบัณฑิตสาวได้ฟัง นางก็คิดได้ว่า คนที่นางจะแต่งงานด้วยนั้นถึงแม้จะเป็นคนโง่ แต่ก็ยังมีคนที่โง่กว่าอีกหลายคน นางจึงหันหลังกลับไม่คิดที่จะฆ่าตัวตายอีกThe intelligent woman married the stupid man. Her husband was a good man. He was a good child of his parent. Although he was not intelligent, she lived with him happily.
บัณฑิตสาวแต่งงานกับคนที่โง่กว่านาง สามีนางเป็นคนดีไม่เกเร กตัญญูต่อพ่อแม่ รักครอบครัว ถึงแม้เขาจะไม่ฉลาดแต่นางก็อยู่กับเขาอย่างมีความสุข

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“The stupid but honest man is always appreciated.The intelligent but crooked man is always hated.”
“คนโง่แต่ซื่อสัตย์ ดีกว่า คนฉลาดแต่คดโกง”
คำศัพท์น่ารู้ (Vocabularies)
village (n.) = หมู่บ้าน
intelligent (adj.) = ฉลาด
groom (n.) = เจ้าบ่าว
engage (v.) = หมั้น
suicide (v.) = ฆ่าตัวตาย
disguise (v.) = ปลอมตัว














































25 วิธีเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
แน่นอนว่า คนทำงานแทบทุกคนย่อมอยากให้งานที่ทำออกมาได้ผลดี มีประสิทธิภาพ แต่ก็ใช่ว่างานทุกงานจะราบรื่นไปเสียหมด เพราะงานแต่ละอย่างก็จะมีรายละเอียดแตกต่างกันไป รวมถึงเพื่อนร่วมงาน หรือทีมเวิร์คที่ดีก็มีส่วนสำคัญด้วยกันทั้งนั้น รวมไปถึงการวางตัวและปัจจัยอื่น ๆ อีกสารพัด แต่ไม่ต้องเป็นกังวลแต่อย่างใด เพราะวันนี้กระปุกดอทคอม ได้คัดสรร 25 วิธีดี ๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานมาบอกกัน ซึ่งทั้ง 25 ข้อนั้นจะมีอะไรบ้าง ลองมาดูกันเลย..
1. ทำสิ่งที่ไม่อยากทำซะก่อน
วิธีนี้ก็เหมือนการทานก๋วยเตี๋ยวที่มักจะทานเส้นก่อน แล้วเหลือลูกชิ้นเอาไว้ปิดท้าย เช่นเดียวกับการ ทำงาน ย่อมมีเรื่องที่ไม่ถนัดเข้ามาอยู่เสมอ ฉะนั้นแล้วทำงานที่ไม่ถนัดให้เสร็จเสียก่อน เพื่อที่จะได้ทำในส่วนที่ถนัดได้อย่างเต็มที่
2. พุ่งเป้าไปที่เรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น
ในระหว่างการทำงานหากคุณทำกิจกรรมอื่น ๆ อาทิเช่น ทานอาหาร เล่นเฟซบุ๊ก เปิดทวิตเตอร์ ดูโทรทัศน์ หรือทำนั่นนี่โน่น ที่ไม่เกี่ยวกับหน้าที่การงานแล้วล่ะก็ขอให้หยุดไว้ก่อน เพราะนั่นอาจทำให้งานเกิดความล่าช้า แถมยังทำให้ทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรอีกด้วย คุณควรจะมุ่งความสนใจในการทำงานให้สำเร็จลุล่วงไปก่อน จะดีกว่าเยอะเลยล่ะ
3. มีระบบการทำงานที่เป็นขั้นเป็นตอน
เพื่อให้งานที่คุณทำมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น คุณควรที่จะมีการวางแผนจัดระบบการทำงานให้เป็นขั้น เป็นตอนชัดเจน โดยอาจจะเริ่มจากการแยกแยะสิ่งที่ต้องทำและสิ่งที่ยังไม่ต้องทำให้เห็นเด่น ชัด เพื่อจะได้ตัดสินใจลงมือทำอย่างถูกต้อง อีกทั้งจัดหมวดหมู่ของงานที่มีลักษณะเดียวกันให้อยู่ด้วยกัน เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหาข้อมูลต่าง ๆ วิธีเหล่านี้จะช่วยให้คุณทำงานได้รวดเร็ว สะดวก และคล่องตัวมากขึ้น
4. ยอมรับข้อบกพร่องของตัวเอง
ชีวิตคนเราไม่ได้ดีเลิศไปซะทุกด้าน มีผิด มีพลาด หรือขาดตกบกพร่อง ไปบ้างถือเป็นเรื่องธรรมดา ฉะนั้นแล้วยอมรับในข้อบกพร่องของตัวเอง เรียนรู้และนำไปแก้ไขต่อไป เชื่อได้ว่าจะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานให้ดีมากขึ้นแน่นอน
5. ใช้วิธีลัดต่าง ๆ ให้เกิดประโยชน์
โปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ช่วยให้คุณทำงานได้รวดเร็วและสะดวกยิ่งขึ้น แต่จะดีกว่านั้นอีกหากคุณเรียนรู้และรู้จักวิธีลัดต่าง ๆ ทั้งปุ่มคีย์ลัดสำคัญ ๆ เช่น Ctrl+C หรืออื่น ๆ อีกมากมาย เพราะวิธีลัดเหล่านี้ จะช่วยประหยัดเวลาไปได้มากอยู่พอสมควรเลยทีเดียว
6. ลดความเสี่ยงในเรื่องต่าง ๆ
ในสังคมปัจจุบันมีเรื่องให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายอยู่มากมาย ทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ อาหารการกิน ค่ารักษาพยาบาลและอื่น ๆ อีกสารพัด ดังนั้นแล้วคุณจึงควรที่จะระมัดระวังการ ใช้จ่ายในแต่ละเดือนให้ดี อีกทั้งเรื่องของความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น การทำบัตรเครดิต หรือการลงทุนที่ไม่เกิดประโยชน์ก็ควรจะหลีกเลี่ยงเช่นกัน เพราะนั่นไม่ได้เป็นสิ่งที่รับประกันว่าคุณจะมีชีวิตที่ดีขึ้นแต่อย่างใด
7. บางครั้งโทรศัพท์ก็เร็วกว่า
เคยไหมที่การนัดพบปะเพื่อพูดคุยเรื่องสำคัญ ๆ ทั้งกับลูกค้าหรือบุคคลอื่น ๆ แล้วต้องมานั่งเสียเวลารอการตอบกลับทางอีเมล์ว่าว่างหรือไม่ว่าง สะดวกที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร ขอให้จำไว้เสมอว่า หากเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก ๆ ควรที่จะโทรศัพท์ไปสอบถามหรือบอกกล่าวจะดีที่สุด ซึ่งการโทรศัพท์นี้จะช่วยให้พูดคุยสื่อสารได้สะดวกและรวดเร็วกว่า และไม่ต้องเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์อีกด้วย
8. เทคโนโลยีช่วยคุณได้
ทุกวันนี้เทคโนโลยีได้รับการพัฒนาให้ก้าวกระโดดไปไกล และมีความหลากหลายซึ่งสอดคล้องกับสไตล์การทำงานที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งคุณสามารถนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการทำงาน อาทิเช่น ใช้ "กูเกิ้ล" (Google) ในการค้นคว้าหาข้อมูลต่าง ๆ หรืออาจจะใช้สมาร์ทโฟนที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานของคุณในแต่ละวันได้เป็น อย่างดี รวมไปถึงการใช้บริการทางอินเทอร์เน็ตในการจัดการกับธุรกรรมต่าง ๆ เช่น การทำธุรกรรมทางการเงิน ซื้อของออนไลน์ ฯลฯ ซึ่งนี่จะเป็นตัวช่วยสำคัญให้คุณสามารถจัดสรรเวลาได้ลงตัวมากยิ่งขึ้น
9. จัดการพื้นที่ทำงานของคุณซะบ้าง
บนโต๊ะทำ งานรกหรือเปล่า รอบ ๆ โต๊ะเต็มไปด้วยกองเอกสารหรืองานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานอยู่เต็มไปหมดใช่หรือไม่ อย่ามัวทนอยู่กับสภาพแวดล้อมนั้นอีกต่อไป จัดการเคลียร์พื้นที่และทำความสะอาดซะบ้าง จัดการข้าวของแต่ละอย่างให้เป็นที่เป็นทาง อะไรที่สำคัญก็แยกเอาไว้ต่างหาก เพื่อจะได้หยิบใช้ได้อย่างสะดวก นอกจากจะได้พื้นที่การทำงานที่สะอาดตาและมีพื้นที่ใช้งานมากขึ้นแล้ว ยังช่วยให้คุณเกิดความรู้สึกอยากจะทำงานมากขึ้นกว่าเดิมด้วย
10. หากิจกรรมทำเมื่อมีเวลาว่าง
เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เราอยากให้คุณทำจนติดเป็นนิสัย เพราะเมื่อใดก็ตามเมื่อคุณมีเวลาว่าง คุณควรจะหากิจกรรมทำ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง จิบกาแฟ เล่นเกมลับสมอง ฯลฯ รวมไปถึงการดูแลตัวเองด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เข้าท่าอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะได้ร่างกายที่แข็งแรงแล้ว ยังช่วยเติมความสดชื่น แจ่มใส พร้อมที่จะลุยกับการทำงานได้ต่อไป
11. กำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน
ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตามแต่ ก็ควรที่จะมีการกำหนดระยะเวลาในการทำสิ่งนั้น ๆ ไว้บ้าง เพราะนั่นจะช่วยให้คุณได้ทำในสิ่งต่าง ๆ ได้มากยิ่งขึ้น และสามารถตัดสินใจที่จะทุ่มเวลาให้กับสิ่งที่คุณจะทำได้อย่างง่ายดายอีกต่าง หาก โดยเฉพาะกับเรื่องงานด้วยแล้ว รับรองได้เลยว่าจะทำให้งานออกมามีประสิทธิภาพแน่นอน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ควรจะแบ่งเวลาให้เหมาะสมและลงตัวด้วย อาจจะลองใช้สูตร การใช้ชีวิตแบบ 80 / 20 ดูก็ได้ กล่าวคือ หากชีวิตมีสัดส่วนเต็ม 100 % ในส่วนของ 80 % นั้น เป็นส่วนที่ควรจะมุ่งมั่นกับสิ่งที่ทำอย่างเต็มที่ ขณะที่ 20 % ที่เหลือนั้นคือการใส่ใจและให้ความสำคัญกับตนเอง เพื่อให้ร่างกายได้รับการพักผ่อนจากความเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งวัน
12. เลิกคิดมากกับเรื่องที่ไม่จำเป็น
เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ บางเรื่อง อาทิเช่น หงุดหงิดเพราะคำพูดของ คน หรืองานที่ทำออกมาแล้วไม่ได้ดั่งใจ เหล่านี้ถือเป็นเรื่องที่ไม่สมควรเก็บมาคิดให้วุ่นวายปวดหัวเล่น อะไรที่ปล่อยวางไปได้ก็ปล่อย ๆ ไป เพียงเท่านี้ก็จะทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้นอีกเยอะเลยล่ะ
13. มีข้อสงสัยก็ถามซะ อย่าให้ค้างคา
เป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะหากคุณมีปัญหาหรือ ข้อสงสัยใด ๆ แล้วเก็บเงียบเอาไว้ ไม่ถามหรือปรึกษาใคร อาจจะทำให้งานที่ทำมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น ซึ่งนั่นจะทำให้เสียเวลาในการแก้งานและอาจก่อให้เกิดการเสียความรู้สึกได้
14. มีมาตรฐานในการทำงาน
ในการทำงานแต่ละครั้ง ควรที่จะมีมาตรฐานสำหรับตัวเองเอาไว้เสมอ กล่าวคือควรที่จะตั้งข้อกำหนดของตัวเองต่อการทำงานว่าสามารถทำได้ดีมากน้อย ขนาดไหน เพิ่มเติมได้หรือไม่ หรือสิ่งไหนมากไป ควรจะลดลงมาบ้างหรือเปล่า เป็นต้น โดยการกำหนดมาตรฐานของตัวเองนี้จะทำให้คุณพัฒนาการทำงานของคุณให้เต็มเปี่ยม ไปด้วยประสิทธิภาพอย่างสูงเลยทีเดียว
15. รวมธุระสำคัญให้จัดการได้ภายในวันเดียว
ธุระสำคัญอย่างเช่น การติดต่อกับทางราชการ จัดการด้านธุรกรรมต่าง ๆ ที่ต้องใช้ความรอบคอบและระมัดระวังมากเป็นพิเศษก็ควรจะรวบรวมเอาไว้ แล้วจัดการให้เสร็จภายในวันเดียว เพราะแน่นอนว่าคุณคงไม่อยากจะลางานหรือเสียเวลาหลายชั่วโมงหรือหลายวันในการ จัดธุระเหล่านี้แน่ ๆ
16. ใช้อำนาจอย่างถูกวิธี
หากคุณมีลูกน้องหรือผู้ช่วยอยู่ในปกครองแล้วล่ะก็ กรุณาใช้อำนาจหน้าที่ที่มีอย่างเหมาะสมด้วย ประเภทที่ว่าชี้นิ้วสั่งอย่างเดียว ตะโกนเสียงดัง หรือขึงขังตลอดเวลาก็ขอให้เลิกซะ เอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง เพราะถ้าเป็นตัวคุณโดยเองบ้าง ก็คงไม่ชอบอยู่เหมือนกันแน่ ๆ พูดจาดี ๆ ให้งานอย่างเหมาะสมจะได้ทำงานร่วมกันได้อย่างมีความสุ
17. จัส เซย์ "โน" ...รู้จักปฏิเสธเสียบ้าง
จัส เซย์ "โน" นี้ไม่ได้พูดถึงเรื่องของยาเสพติดแต่อย่างใด แต่หมายถึงการกล่าวปฎิเสธไว้บ้าง เพราะบางครั้งการปฏิเสธก็เข้าท่ากว่าการกล่าวยินยอมมาก ๆ ยกตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการที่จะกลับบ้านหรือ รู้สึกไม่อยากไปงานเลี้ยงสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงาน ก็ควรบอกปฏิเสธไป เพราะยังไงซะก็ไม่ได้มีแค่งานนี้งานเดียวเสมอไป เอาไว้โอกาสหน้าก็ไม่เสียหาย
18. สร้างแรงกระตุ้นให้ตัวเองอยู่เสมอ
เมื่อใดก็ตามที่คุณรู้สึกท้อแท้ ตื้อ ๆ คิดอะไรไม่ค่อยออก ขอให้หยุดพักสักหน่อย แล้วลองหาสิ่งที่สามารถสร้างแรงกระตุ้นให้กับตัวคุณได้ วิธีนี้จะทำให้คุณเกิดความรู้สึกทีดียิ่งขึ้น หรือบางทีคุณอาจจะมีการตั้งเป้าหมายไว้เพื่อเป็นแรงจูงใจในการกระตุ้นตัวเอง ก็ดีไปอีกแบบ
19. เคลียร์อีเมล์บ้างก็ดีนะ
คุณเป็นอีกคนหนึ่งหรือเปล่าที่มีอีเมล์มากมายนับร้อยรับพันฉบับค้างคาอยู่ ในกล่องจดหมาย ลองหาเวลาเคลียร์อีเมล์เหล่านี้ดู เมล์ไหนที่อ่านแล้ว เมล์ไหนที่เป็นอีเมล์ขยะ หรือไม่มีความสำคัญอะไรก็ลบทิ้งไปซะบ้าง เพื่อความสะดวกต่อการเช็คเมล์ในครั้งต่อ ๆ ไป
20. บอกเพื่อนให้รู้ด้วยว่ากำลังทำ
หลายคนคงจะติดเพื่อน ต้องการคุยกับเพื่อนอยู่ตลอดเวลา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ควรจะแยกแยะด้วย เพราะคุณคุยกับเพื่อนในระหว่างการทำงาน งานก็คงไม่มีทางเสร็จอย่างแน่นอน บอกเพื่อนให้รู้ว่าคุณกำลังทำงาน เพื่อที่เขาจะได้ไม่รบกวนเวลาทำงานของคุณมากจนเกินไป และตัวคุณเองก็จะได้มีสมาธิและตั้งใจทำงานต่อไป21. ยุ่งนัก ก็หาคนช่วย
คนเรามีหน้าที่การงานหรือเรื่องต้องรับผิดชอบอยู่อย่างมากมาย แต่หากมีมากเกินไป หรือทำไมไหว ก็ควรจะหาคนมาช่วยแบ่งงานไปบ้าง เพื่อให้งานเสร็จได้ทันกำหนดและมีเวลาในการจัดการกับตัวคุณเองได้มากยิ่งขึ้น
22. จดบันทึกก็ดีนะ
การจดบันทึกเป็นวิธีการเรียนรู้และจดจำที่ดีอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยเสริมให้ การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของรายละเอียดหรือใจความของเนื้อหาสาระสำคัญ ต่าง ๆ เพราะแน่นอนว่าคุณจำรายละเอียดต่าง ๆ เหล่านั้นได้ไม่หมดแน่ ที่สำคัญยังเป็นการได้พัฒนาการทำงานให้เป็นระบบมากขึ้นอีกด้วย
23. เหนื่อยวันนี้ สบายวันหน้า
ขอให้คิดไว้เสมอว่าการที่คุณต้องเหน็ดเหนื่อย ทุ่มเทกับการทำงานนั้น ถือเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้ชีวิตของคุณมีความสบายและก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น ขอให้มองในแง่ของประสบการณ์ชีวิตดี ๆ ที่ได้พบและเจอสิ่งที่อาจเป็นบทเรียนให้กับชีวิตต่อไป
24. ทำให้เป็นเรื่องง่ายเข้าไว้
ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามแต่ ขออย่าได้ต้องคิดอะไรที่ยุ่งยาก ซับซ้อน และเข้าใจยาก เพราะนั่นไม่ทำให้เกิดประโยชน์ใด ๆ ขึ้น มิหนำซ้ำยังจะทำให้เกิดความเครียดโดยใช่เหตุอีกต่างหาก ทำให้เป็นเรื่องที่ง่าย ๆ เข้าไว้ จะทำให้เกิดการคิดและการตัดสินใจอย่างมีเหตุผลมากยิ่งขึ้น
25. ลงมือทำเลย
เหนือสิ่งอื่นใด ไม่ว่าจะมีมากมายกี่วิธีหรือกี่ร้อยกี่พันข้อก็ตาม หากไม่เริ่มลงมือทำสักที ก็ไม่เกิดผลแน่ ๆ ดังนั้นแล้วอย่ามัวแต่เสียเวลาเลย เริ่มลงมือทำกันเลยดีกว่า เพื่อหน้าที่การงานที่ก้าวหน้าและมีประสิทธิภาพมากที่สุด

25 วิธีมีความสุข

คิดใหม่ ใช้ชีวิตราวกับว่าวันนี้เป็นวันสุดท้าย คนที่ป่วยหนักหรือเผชิญกับอุบัติเหตุใกล้ตาย เห็นโศกนาฏกรรมหรือสูญเสียบุคคลผู้เป็นที่รักมักมีมุมมองชีวิตที่ต่างออกไป หลายคนบอกว่าจะไม่ปล่อยเวลาให้สายเกินไปอีกแล้ว จะท่องเที่ยวไปในโลกกว้างหรือติดต่อพบปะเพื่อนฝูง เราทุกคนก็ควรตระหนักว่าอาจไม่มี "พรุ่งนี้" ก็ได้
มองในแง่มุมอื่นบ้าง ลองคิดว่าคุณอยากให้คนอื่นจดจำคุณในด้านใด หรือหากวันหนึ่งต้องเล่าเรื่องชีวิตตนเองให้หลานๆ ฟัง คุณจะเล่าอะไร คุณจำเป็นต้องเปลี่ยนผ้าปูที่นอนทุกสัปดาห์และถูบ้านทุกวันหรือ แล้วที่คุณพลาดการแสดงละครของลูกที่โรงเรียนเมื่อปีที่แล้วเพราะติดประชุมเล่า ตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไรบ้างเมื่อมองย้อนกลับไป
อย่าให้เรื่องเล็กน้อยกวนใจ ไม่คุ้มหรอกที่จะหัวเสียกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง หากคนขับรถคันข้างๆ ไม่ยอมให้คุณเบียดเข้าเลนก็ยิ้มและโบกมือให้เขาไปเลย แล้วจะหงุดหงิดไปทำไมหากพลาดรถเที่ยวเช้า หากาแฟดื่มขณะนั่งรอคันต่อไปดีกว่า
จดบันทึก เขียนเล่าถึงสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นกับคุณทุกวัน การจดบันทึกยังช่วยแก้ปัญหาและขจัดเรื่องไม่ดีที่รกสมองออกไปได้ด้วย ลองเริ่มเขียนตั้งแต่วันนี้ รับรองได้ผลแน่
ทำงานยากให้เสร็จ ลงมือได้แล้วอย่าผัดวันประกันพรุ่ง โอ้เอ้ไปก็มีแต่ทำให้หนักใจเหนื่อยกาย ไหนๆ งานนี้ก็ต้องทำโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยง ก็น่าจะทำให้เสร็จแทนที่จะมัวกังวลและคิดจนรกสมอง
เลิกทำตัวจำเจ ชีวิตคงหน้าเบื่อหากทำอะไรซ้ำซากทุกวันทุกสัปดาห์ เราน่าจะมีเรื่องแปลกใหม่มาทำให้หัวใจกระชุ่มกระชวยบ้าง ถ้าเอาแต่นอนตื่นสายทุกวันอาทิตย์ก็น่าจะลุกขึ้นมาแต่เช้าไปกินอาหารอร่อยๆ นอกบ้าน หรือไปตลาดแล้วจ่ายกับข้าวมาทำอาหารมื้ออร่อยกินกันที่บ้าน
อย่าเปรียบตัวเองกับคนอื่น ใครจะมีสระว่ายน้ำ เครื่องเสียงแพงๆ รุ่นล่าสุด หรือรถหรูใหม่เอี่ยมไม่ต้องสนใจ หากดูให้ดีๆ คุณอาจพบว่าคนพวกนี้ต้องทำงานสัปดาห์ละเจ็ดวัน ไม่มีเวลาเจอหน้าคนในบ้านหรือเพื่อนฝูง หรืออาจต้องผ่อนหนี้สินไปอีกหลายสิบปี แล้วชีวิตอย่างนี้ดีจริงหรือ
กำจัดข้าวของรกในบ้าน เสื้อผ้าที่ไม่เคยใส่มาเป็นปี เครื่องครัวที่ตั้งอยู่ตรงนั้นจนน้ำมันจับเป็นคราบหนา ไหนจะของเล่น หนังสือเก่า และเครื่องเรือน ยกไปบริจาคเถิด นอกจากจะได้บุญแล้ว ชั้นวางของและห้องต่างๆ ในบ้านจะโล่งและเป็นระเบียบมากขึ้น
รู้จักเอ่ยคำว่า "ไม่" ไม่ต้องลงมือทำเองทุกเรื่องเพราะชีวิตคุณก็วุ่นวายพออยู่แล้ว ไหนจะต้องทำเรื่องโน้น สะสางเรื่องนี้ ปล่อยให้สมองมีที่ว่างเพื่อคิดหรือทำอะไรเพื่อตัวเองบ้าง
รดน้ำต้นรัก รักคู่ครองของคุณอย่างที่เขาเป็น ที่คุณคิดว่าเขาเปลี่ยนไปนั้นเป็นความจริงหรือ (คิดให้ดีก่อนตอบ) ของทุกอย่างเมื่อใช้งานไปได้ระยะหนึ่งก็ต้องบำรุงรักษาหรือซ่อมแซมเป็นธรรมดา ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาก็เช่นกัน ต้องมีการดูแลใส่ใจกันบ้าง
อย่าให้ความคุ้นเคยกลายเป็นไม่ไว้หน้า หากคุณให้เกียรติเพื่อนหรือผู้อื่น คู่ครองหรือคนในครอบครัวคุณก็ควรได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกัน และคุณเองก็ควรได้เกียรติจากคนในครอบครัวเช่นกัน
มอบความรักให้ครอบครัวและเพื่อนๆ อย่าเขินที่จะบอกคนเหล่านี้ว่าคุณรักพวกเขาตรงไหน เมื่อเขาทำอะไรดีๆ ให้ก็กล่าวคำชื่นชมบ้าง คำชมเล็กๆ น้อยๆ ไม่เคยทำร้ายใคร
อย่ารับปรับทุกข์ทุกเรื่อง หากปัญหาของเพื่อนเริ่มมีผลกระทบต่อตัวคุณ ก็ไม่ต้องฝืนทำตัวเป็นเสาหลักให้เขาพิงอยู่เรื่อยไป ให้เพื่อนหัดแก้ปัญหาและก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยตัวเอง
ติดต่อเพื่อนเก่า คุณอาจขาดการติดต่อกับเพื่อนไปนาน แต่ก็ยังไม่สายเกินไปที่จะโทรศัพท์ ส่งอีเมล์ หรือเขียนจดหมายถึงเขา และนานแค่ไหนแล้วที่คุณไม่ได้คุยกับป้า ท่านอยากได้ยินเสียงคุณจะแย่แล้ว
บำรุงอารมณ์ด้วยสีเขียว ดอกไม้สดจากสวน หรือตื่นแต่เช้าไปตลาดซื้อดอกไม้ ผักผลไม้ราคาไม่แพงมาแต่งบ้านให้สดใส คุณเคยมีสวนกระถางในบ้านไม่ใช่หรือ นำกลับมาอีกครั้ง แล้วบ้านคุณจะชุ่มชื่นมีชีวิตชีวาแน่นอน
ไปทะเลกันดีกว่า ทิวทัศน์กว้างไกล สายลม เกลียวคลื่น สองเท้าเปลือยเปล่าย่ำบนผืนทราย และแสงแดดระยับ ไม่มีอะไรทำให้จิตใจเริงรื่นชื่นบานได้ดีกว่านี้อีกแล้ว
สร้างสรรค์ผลงาน จะเป็นภาพเขียน งานปั้น เย็บปักถักร้อย อบขนม จัดสวน หรืออะไรก็ได้
สูดอากาศบริสุทธิ์ ออกไปข้างนอกหรือเปิดหน้าต่างกว้างๆ สูดหายใจให้เต็มปอด คุณจะรู้สึกว่าอากาศเสียถูกขับออกจากตัว
ออกไปเดินเล่น การออกกำลังเบาๆ จะช่วยเติมชีวิตชีวาให้คุณทั้งร่างกายและจิตใจตั้งแต่เดินเล่นครั้งแรกเลยทีเดียว การออกกำลังสม่ำเสมอจะทำให้คุณกระปรี้กระเปร่าและรู้สึกดีขึ้นทุกวัน
ดูหนังตลกและหัวเราะให้สบายใจ ร้านให้เช่าวิดีโอมีหนังเบาสมองให้เลือกมากมาย จะเป็นหนังไทยหรือฝรั่งไม่สำคัญ ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาบ้าง
ย้ายเครื่องเรือนและของแต่งบ้าน หรืออาจทาสีห้องและผนังใหม่ด้วย รับรองว่าบรรยากาศที่ได้คุ้มค่าไม่แพ้วันหยุดเลยทีเดียว
รอคอยสิ่งดีๆ เช่นวันหยุดพักร้อน ออกไปเที่ยวกับเพื่อนฝูง หรือแม้แต่ไปนวดแผนโบราณ
ชวนเพื่อนมากินมื้อค่ำ จัดห้องและโต๊ะอาหารที่บ้านให้แปลกไปจากเดิม เสิร์ฟเครื่องดื่มค็อกเทลหรือแชมเปญ เปิดเพลงเสริมบรรยากาศ สนุกกับการเตรียมอาหาร ทุกคนจะปลาบปลื้มหากเห็นว่าคุณทุ่มสุดฝีมือ แล้วค่ำคืนนั้นก็จะครึกครื้น
ยิ้มไว้ ยิ้มเป็นโรคติดต่อ ไม่เชื่อก็ลองยิ้มดูสิ
ทำให้คนอื่นมีความสุขบ้าง ทำเพื่อตัวเองมามากแล้วก็น่าจะทำเพื่อคนอื่นบ้าง เริ่มจากอดกลั้นไม่บีบแตรไล่รถที่วิ่งเหมือนเต่าคลาน หรืออาสาช่วยงานกุศล เพียงเท่านี้ การใช้ชีวิตให้สุดคุ้มก็ไม่ยากอย่างที่คิด

วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

กระดาษปาปิรุส (Papyrus) กระดาษแผ่นแรกของโลก


ว่าไปกันแล้วกระดาษเป็นวัสดุที่ถูกสร้างมาเพื่อใช้ในการบันทึก มีประวัติศาสตร์เล่าไว้ว่าได้มีการใช้กระดาษครั้งแรกโดยชาวอียิปต์โบราณ และชาวจีน กระดาษในภาษาไทยไม่ปรากฏที่มาอย่างแน่ชัด มีผู้สันนิษฐานว่าน่าจะทับศัพท์มาจากภาษาโปรตุเกสว่า kratus แต่ความจริงแล้ว คำว่ากระดาษ ในภาษาโปรตุเกสใช้ว่า papel ส่วนที่ใกล้เคียงภาษาไทยมากที่สุด น่าจะเป็นคำศัพท์ในภาษามลายู นั่นก็คือ kertas หมายถึง กระดาษ เช่นกัน กระดาษแผ่นแรกของโลกผลิตโดยชาวอียิปต์โบราณ ผลิตจากหญ้าที่เรียกว่า"ปาปิรุส" และเรียกว่ากระดาษปาปิรุส มีการพบว่ามีการใช้จารึกพวกบทสวด คำสรรเสริญเทพเจ้าแล้วก็คำสาบานบรรจุไว้ในพีระมิดของอียิปต์ นักประวัติศาสตร์เชื่อว่ามีการใช้กระดาษปาปิรุส เมื่อ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล ว้าววว....!!! กระดาษปาปิรุสเป็นกระดาษชนิดแรกของโลกที่ทำมาจากต้นกก กระดาษปาปิรุสมีความยืดหยุ่นและคงต่อสภาพอากาศอันแห้งแล้งของอียิปต์ได้ดี อียิปต์ใช้บันทึกข้อความสรรเสริญเทพเจ้าและเหตุการณ์ต่างๆในสมัยอียิปต์ โบราณ ว่ากันว่าได้มีการประดิษฐ์อักษรลงบรกระดาษปาปิรุสที่เรียกกันว่า ตัวอักษรฮีโรกราฟฟิก หรือที่เพื่อนๆ พี่ๆรู้จักกัน คือ อักษรภาพของชาวอียิปต์น่ะเอง





วิธีการสร้างกระดาษปาปิรัส ทำโดยการเฉือนต้นปาปิรัสบางๆตามแนวยาวแล้วนำไปตากแดด นำลำเลียงของลำต้นจะทำให้เยื่อไม้ติดกันเป็นแผ่น ส่วนขนาดก็จะขึ้นอยู่กับจำนวนแผ่นของลำต้น เมื่อแสร็จแล้วก็ม้วนเก็บไว้ได้
เสียดายที่นักโบราณคดีไม่สามารถชี้ชัดลงไปได้ว่ากระดาษปาปิรุสนี้มีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เท่าที่มีอยู่ทราบเพียงว่า ปาปิรุสได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง เช่น นำมาเป็นเชื้อเพลิง สร้างบ้าน ต่อเรือ สานตะกร้า ตลอดจนตัดเย็บเสื้อผ้าโดยเฉพาะศิลปหัตถกรรมที่ทำกระดาษจากต้นปาปิรุสนี้ถือเป็นความลับสุดยอดก็ว่าได้ เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดของเจ้าหน้าที่ซึ่งองค์ฟาโรห์ทรงแต่งตั้ง ทำเป็นอุตสาหกรรมกันเลยทีเดียว ชาวบ้านจึงเรียกว่า ปะ - ปี๋ - ร่า ( Pa - Pe - Raa) หมายถึงกิจการที่เป็นขององค์ฟาโรห์ แต่ชาวกรีกโบราณออกเสียงเพี้ยนเป็นปาปิรัส แล้วคำคำนี้แหละ ก็แผลงมาเป็น "เปเปอร์ ( Paper"หรือกระดาษในปัจจุบันนี่เอง


เทคนิคการขับรถตอนน้ำท่วม




ช่วงนี้ผู้ใช้รถหลายคนอาจหงุดหงิดกับน้ำท่วม รวมถึงกังวลว่าจะขับรถผ่านถนนที่มีน้ำท่วมขังสูงได้อย่างไร...วันนี้เราจึงนำข้อแนะนำดี ๆ ในการขับรถเมื่อเจอฝนตกหนัก และน้ำท่วม มาฝากกัน



ปิดแอร์รถยนต์ เมื่อต้องเผชิญกับถนนที่มีน้ำท่วมขัง พึงระลึกไว้เสมอว่าห้ามเปิดแอร์เด็ดขาด เพราะถ้าพัดลมแอร์ทำงานอยู่ มันจะพัดน้ำที่อยู่บนถนนกระจายไปทั่วห้องเครื่องทำให้เครื่องยนต์ดับได้ นอกจากนี้ควรระวังพวกขยะที่ลอยมากับน้ำจะเข้าไม่ติดมอเตอร์พัดลมหรือเกี่ยวใบพัดเสียหาย ทำให้ระบบระบายความร้อนในเครื่องยนต์พังได้เช่นกัน



กะระดับน้ำคร่าว ๆ กับความสูงของช่วงล่างว่าสามารถขับลุยได้หรือไม่ ถ้าเป็นรถเก๋งทั่วไปสามารถลุยน้ำได้สูงประมาณ 5-10 เซนติเมตร แต่ถ้าน้ำสูงกว่านั้นควรหลบไปใช้เส้นทางอื่นดีกว่าเสี่ยงให้น้ำเข้าท่อไอเสีย และรถดับกลางทาง ใช้เกียร์ต่ำ สำหรับเกียร์ธรรมดา ควรใช้ประมาณเกียร์ 2 ส่วนเกียร์ออโต้ก็ใช้เกียร์ L และขับขี่ด้วยความเร็วต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยใช้ความเร็วสม่ำเสมอ เลี้ยงรอบให้นิ่งที่สุดประมาณ 1,500 รอบต่อนาที



อย่าเร่งเครื่อง เพราะกลัวน้ำเข้าเครื่องแล้วเครื่องจะดับ เนื่องจากเป็นความเชื่อที่ผิด จริง ๆ แล้วการเร่งเครื่อง ยิ่งทำให้รถมีความร้อนสูงขึ้น เมื่อเครื่องมีความร้อนสูงขึ้น ใบพัดระบายความร้อนก็จะทำงาน คลื่นน้ำที่ถูกดันไปข้างหน้าก็อาจทะลักกลับมายังห้องเครื่องได้



ลดความเร็วลง เมื่อกำลังจะสวนกับรถอีกคัน เพราะไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นคลื่นชนคลื่น ซึ่งน้ำที่ปะทะระหว่างรถของเราและรถที่วิ่งสวนมา อาจทำให้น้ำกระเด็นไปทำอันตรายต่ออุปกรณ์ภายในได้



ไม่ควรดับเครื่องยนต์ทันทีเมื่อถึงที่หมาย ให้จอดทิ้งไว้สักครู่เพื่อให้น้ำที่อาจค้างอยู่ในหม้อพักไอเสียระเหยออกให้หมด



ย้ำเบรกไล่น้ำ สำหรับรถเกียร์ออโต้ ให้ย้ำเบรกเพื่อไล่น้ำออกจากระบบเบรก ส่วนรถเกียร์ธรรมดา ให้ย้ำคลัตช์ เพื่อป้องกันคลัตช์ลื่น



ทั้งนี้ หากข้ามวันแล้วยังพบอาการเบรกติด ให้ลองสตาร์ทเครื่อง แล้วเข้าเกียร์หนึ่งเดินหน้าไปเล็กน้อย จากนั้นเหยียบเบรกให้แรงที่สุด แล้วทำซ้ำอีกครั้ง แต่เปลี่ยนเป็นเข้าเกียร์ถอยหลัง ทำสลับกันไปเรื่อย ๆ จนกว่าอาการดังกล่าวจะหายไป แต่ถ้าไม่หายหรือมีอาการผิดสังเกต ก็รีบนำเข้าศูนย์บริการจะดีกว่า

วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เกาะพิทักษ์



เกาะพิทักษ์ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลอ่าวไทย มีเนื้อที่ 712 ไร่ มีประชากร 44 ครัวเรือน ประชาชนเริ่มอพยพมาอยู่อาศัยเมื่อ พ.ศ. 2434 โดยบุคคลแรกที่เข้าไปอาศัยยังเกาะพิทักษ์คือ นายเดช เดชาฤทธิ์
เมื่อมีการจัดตั้งหมู่บ้านตามลักษณะการปกครองท้องที่ พ.ศ. 2464 จึงได้มีการตั้งชื่อหมู่บ้านเป็น บ้านเกาะพิทักษ์
บ้านเกาะพิทักษ์ ได้ชื่อว่าเป็นชุมชนที่อนุรักษ์สภาพแวดล้อมทางทะเลได้ดีเด่น ปัจจุบันบ้านเกาะพิทักษ์ ยังเป็นศูนย์อนุรักษ์หอยมือเสือ และยังมีปะการังสวยงามรอบๆ เกาะ รวมถึงเกาะไกลเคียงอย่าง "เกาะคราม" ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากเกาะฯ ประมาณ 1 กิโลเมตร
เกาะพิทักษ์มีจุดเด่นที่น่าสนใจคือ การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ อนุรักษ์ไว้ซึ่งสิ่งแวดล้อม และระบบนิเวศน์ เช่น หาดทรายที่สวยงามยังคงความเป็นธรรมชาติ อนุรักษ์หอยมือเสือ ดำน้ำชมปะการัง ชมวิถีชีวิตชาวประมง (ไดร์หมึก, วางอวน, ตกปลา ฯลฯ) และชมปลาโลมาสีชมพู (กันยายน-ตุลาคม)










เกาะพิทักษ์ เป็นเกาะเล็กๆ ที่อยู่ห่างฝั่งเพียง 1 กิโลเมตร มีหมู่บ้านชาวประมงพื้นบ้านกระจายอยู่รอบเกาะ ที่ราบบนเกาะมีไม่มากนัก บ้านเรือนบางส่วนจึงปลูกอยู่เหนือน้ำ นอก จากทำประมงแล้ว ชาวบ้านปลูกมะพร้าวเป็นรายได้หลักอีกทางหนึ่ง อีกทั้งการทำประมงแบบพื้นบ้าน ด้วยเครื่องมือหาปลาแบบพื้นถิ่น และชาวบ้านร่วมมือกันรักษาสภาพแวดล้อมของชุมชนและแหล่งทำมาหากิน จึงทำให้ท้องทะเลบริเวณเกาะ พิทักษ์ยังคงความอุดมสมบูรณ์ การท่องเที่ยวแบบโฮมสเตย์บนเกาะพิทักษ์จึงเป็นการเรียนรู้วิถีชีวิตชุมชน การเข้าใจการอยู่ร่วมกันแบบพึ่งพาอาศัยกันระหว่างคนกับธรรมชาติ นอกจากนี้แล้ว นักท่องเที่ยวอาจได้ออกเรือประมงกับชาวบ้านเพื่อไปตกปลาหมึกในยามกลางคืน หรือไปดำน้ำดูหอยมือเสือที่หาดูได้ยากในแหล่งอื่น รวมทั้งอาจศึกษาวิธีการ ทำน้ำมันมะพร้าวจากชาวบ้าน






อาบน้ำบ่อย...ใครว่าดี

"อาบน้ำบ่อยใช่ว่าสะอาดจริง"
การอาบน้ำล้างหน้าบ่อย ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนังบอกว่ากลับทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับผิวหนังง่ายขึ้น เนื่องจากผิวหนังคนเราก็มีภูมิต้านทานตามธรรมชาติเป็นเสมือนยาฆ่าเชื้ออยู่แล้วเพื่อช่วยป้องกันการอักเสบหรืออาการพุพองต่าง ๆ หรือเกิดอาการแสบคัน จะเห็นได้จากเมื่อเกิดแผลขึ้นและแผลเป็นหนอง แสดงว่าเป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่กำลังต่อสู้กับเชื้อโรคอยู่ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยทูบิงเคมในเยอรมัน พบว่า เหงื่อของเรามีสาร "เดอร์ เมดิซีน" มีสรรพคุณช่วยปกป้องผิวหนังจากการอักเสบ ที่ทำให้ผิวหนังเป็นผื่นคัน สารตัวนี้ผลิตได้จากต่อมเหงื่อทั่วร่างกาย มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียก่อนที่แบคทีเรียจะทำอันตรายกับผิว
"ควรเลือกที่ไม่ระคายเคืองผิวหนัง"สิ่งที่จะทำให้ยาฆ่าเชื้อบนผิวหนังเราถูกกำจัดไปอีกอย่างหนึ่งก็คือ สารระคายเคืองต่อผิวหนังจากผงซักฟอก สบู่ น้ำยาล้างจาน ฯลฯ การเลือกซื้อน้ำยาต่าง ๆ นี้ก็ควรเลือกชนิดที่ไม่ทำความระคายเคืองให้กับผิวหนัง สังเกตได้หลังจากการใช้จะทำให้ผิวแห้งผาก เกิดอาการคัน บ้านเมืองของชาวตะวันตกมีอากาศหนาวเย็นจึงไม่อาจอาบน้ำได้บ่อยเท่าเมืองเราที่เป็นเมืองร้อน เพราะผิวจะแห้งจากการถูกทำลายน้ำมันธรรมชาติ สำหรับบ้านเราแถบทางเหนือคงจะคล้ายกัน แต่ในภาคอื่นหรือในกรุงเทพฯที่ผู้คนต้องเบียดเสียดขึ้นรถเมล์ หากไม่อาบน้ำบ่อยคงส่งกลิ่นให้เพื่อนร่วมทางต้องสลบกันไปบ้างแหละ

วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ความเชื่อผิด ๆ ในภาวะน้ำท่วม


ผมลองรวบรวมบทสนทนาจากผู้ประสบภัยที่เผยแพร่ตามสื่อต่าง ๆ ในรอบหลายวันที่ผ่านมาครับ ถ้านึกอะไรออกจะมาแก้ไขเพิ่มเติมเรื่อย ๆ ทั้งหมดนี้ จะเป็นประเด็นใหญ่ ๆ ที่หลายคน มักจะ "้เข้าใจผิด" หรือมีความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง ที่อาจจะมาจากการขาดข้อมูลที่สำคัญ ๆ การพลาดการติดตามข่าวสารต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้อาจจะนำพามาซึ่งความชะล่าใจ ความประมาท ซึ่งมันทำให้หลายคน "ชิบหาย" มาแล้ว เพราะคิดแบบนี้

1) ซื้อเสบียงมาแล้ว อยู่ได้เป็นเดือน โดนน้ำปิดทางเข้าออก ก็ไม่กลัว
หลายวันที่ผ่านมา ห้างค้าปลีกในกทม. มีแต่คนไปแย่งซื้อของ แย่งกันตุน ไม่ว่าจะเป็น เนื้อหมู ไข่ไก่ ผัก ผลไม้ มาม่า ปลากระป๋อง ข้าวสาร แน่นอนว่า การตุน ทำให้ทุกคนอุ่นใจ มีมาม่า 3 โหล มี ปลากระป๋องพอกินได้เป็นเดือนๆ
สิ่งเหล่านี้แทบจะหมดค่าไป ถ้าที่อยู่อาศัยของคุณถูกการไฟฟ้าตัดไฟ แล้วยังจะทำอะไรได้อีกครับ เจอแบบนี้? ถ้าอยู่บ้าน ก็โชคดีหน่อย เนื้อหมู ไข่ไก่ ข้าว สามารถหุงหรือทำให้มันร้อน สุก ได้โดยใช้เตาแก้ส แต่ถ้าอยู่คอนโด ชีวิตลำบากแล้วครับ เพราะนิติบุคคลคงไม่อนุญาตให้เราใช้เตาแก้สแน่นอน เพราะเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัย แทบจะหมดโอกาสต้มมาม่า หุงข้าว เลยนะครับ
อย่างมากก็เอาขนมขบเคี้ยวมากิน (แล้วมันจะอิ่มมั้ย กินมากๆอันตรายต่อร่างกายด้วยนะครับ มีแต่แป้งกับไขมัน จากน้ำมันที่ทอด ยิ่งพวกมันฝรั่งทอดนี่ตัวดี) และอาจจะมีปลากระป๋องที่เปิดกินได้เลย ไม่ต้องผ่านกรรมวิธีการปรุงอะไร
อ้อ!! อย่าลืมนะครับ ไม่มีไฟฟ้า ตู้เย็นก็ไม่ทำงาน เสบียงที่ตุนมา ไม่ช้าก็เน่าเสีย คาตู้เย็นน่ะแหล่ะ และถ้าไฟดับ WiFi หรืออินเตอร์เน็ต ที่บ้านคุณก็ใช้ไม่ได้ทันที ทีวี วิทยุก็ใช้ไม่ได้ สิ่งที่คุณทำได้ คือ การใช้มือถือ หรือสมาร์ทโฟน ต่อเน็ต เพื่อเช็คข่าวสารต่าง ๆ
ซักสองสามทุ่ม แบตมือถือก็หมดแล้วครับ จะชาร์จ ก็ชาร์จไม่ได้ เพราะไม่มีไฟฟ้าให้ชาร์จ พอโทรศัพท์แบตหมด คุณก็จะถูกตัดขาดจากโลกภายนอกทันที คุณไม่สามารถโทรหาใครได้ และไม่มีใครโทรติดต่อหาคุณได้เช่นกัน ทีวี วิทยุ ก็ใช้ไม่ได้ คุณไม่มีโอกาสที่จะรู้ข่าวสาร ความเคลื่อนไหวทุกอย่างในโลกใบนี้ นึกถึงความรู้สึกตอนแบตมือถือคุณหมดสิครับ หงุดหงิด รำคาญใจมากขนาดไหน เล่น Facebook Twitter แก้เซ็งก็ไม่ได้ เพราะแบตมือถือหมดแล้ว แทบจะลงแดง แน่นอนว่า ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น คุณจะอาการหนักกว่านั้นอีกหลายเท่า
การใช้ชีวิตกับความมืด อากาศก็ร้อน แม้แต่พัดลมยังใช้งานไม่ได้ ให้ลองนึกภาพเวลาไฟดับ แค่ 2 ชั่วโมง เราก็แทบจะขาดใจ อากาศจะหายใจยังไม่ค่อยมี ยังร้อนอีก ใช้ชีวิตยากกว่าเดิม ลำบากกว่าเดิม หลายเท่า
และถ้าเลวร้าย ไฟดับเป็นอาทิตย์แบบแฟลตแถวดอนเมือง ที่ออกข่าวช่อง 3 ไป คิดว่าจะอยู่กันได้มั้ยครับ? 1 อาทิตย์ ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำใช้ ท่ามกลางน้ำสูงระดับ เอว ไปไหนกันไม้ได้ทั้งแฟลตเลย ท่ามกลางน้ำเน่าที่ท่วมรอบแฟลต ยิ่งถ้าถูกตัดน้ำ จะทำยังไงครับ? น้ำต้องใช้กิน ใช้ประกอบอาหาร คุณอาจจะตุนน้ำดื่มไว้ สามโหล พอกินไปเป็นเดือนๆ แต่น้ำที่ใช้อาบ ชำระร่างกาย หรือ เวลาขับถ่าย จะมีน้ำพอใช้รึเปล่า เราอาจจะไม่อาบน้ำได้เป็นอาทิตย์ๆ แต่เราก็ยังต้องขับถ่ายปกติ
รู้มั้ยครับว่า การกดชักโครกที น้ำหายไป 6 ลิตร เป็นอย่างน้อย (นอกจากใช้รุ่นประหยัดสุดๆ 4 ลิตร) ถ้าถูกตัดน้ำ ก็ทำธุระส่วนตัวแค่ทีเดียว กดน้ำทีกดเกลี้ยงแล้ว ครั้งต่อไป คุณจะทำยังไง เอาน้ำดื่มที่คุณตุนมาราด ต้องเสียไปครั้งละ 6 ขวดลิตรเลยนะครับ?
ทางแก้ คือ ถ่ายใส่ถุงดำที่เตรียมไว้ แต่ถ้าหลายวัน จะทนได้เหรอครับ ไม่มีรถขยะมาเก็บขยะให้เราแล้วนะ อย่าลืมว่า เพื่อนบ้านคุณ อาจจะไม่ได้ถ่ายใส่ถุงดำอย่างคุณ เค้าอาจจะใส่ถุงแล้วโยนทิ้งลงน้ำมาก็ได้ (ใครจะอยากเก็บไว้กับตัวเองล่ะ) สิ่งเหล่านี้มันก็จะลอยตามน้ำมา และอาจจะหยุดอยู่ที่บ้านคุณ (แค่คิดก็สยองแล้ว)
จะสยองกว่านี้อีกครับ เพราะระบบการระบายของบ้านและคอนโด จะทำงานไม่ได้ เพราะมันเต็มไปด้วยน้ำมากมาย เกิดอาการทะลักของสิ่งปฏิกูลในบ้านและคอนโด เพิ่มเข้ามาอีก
2) น้ำมา ก็ขึ้นไปอยู่ชั้น 2 ได้ บ้านมีหลายชั้น
ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า น้ำที่ท่วม ไม่ใช่น้ำใส ๆ ครับ มันเป็นน้ำที่พัดมาจากไหนก็ไม่รู้ ทั้งดำทั้งเหม็น สิ่งปฏิกูลต่างๆก็อยู่ในนั้นแหล่ะ ไหนจะยุง งู ตะขาบ จระเข้ ซากหนูตาย หมาแมวที่จมน้ำตาย สารพัดจะลอยมากับน้ำ
นึกภาพเราหนีไปอยู่ชั้น 2 หนีออกไปไหนไม่ได้ ชั้น 1 ที่ท่วม เป็นน้ำกึ่งๆเน่า เหม็นก็เหม็น จะอยู่กับมันได้มั้ยครับ? และถ้ามันล้นขึ้นมาชั้นที่ 2 คุณจะยังมีชั้นที่ 3 ให้ขึ้นไปอยู่มั้ย ถ้าไม่มี แย่แล้วนะครับ เพราะถ้าล้นขึ้นมาอีก ตายสถานเดีย
ดูน้ำท่วมที่ บางบัวทองครับมิดหัวก็มี
3) ภัยจากน้ำ หลายคนคงจินตนาการว่า น้ำท่วม ก็คือ มีแต่น้ำ จะอันตรายก็แค่จมน้ำ

คิดผิดถนัดเลยครับ ในน้ำที่มาท่วมเนี่ย มีสัตว์เลื้อยคลานลอยตามมาด้วย สิ่งปฏิกูลสารพัด ก็ติดมาด้วย นึกภาพคุณกำลังว่ายน้ำอยู่ในสระใสๆ แล้วอยู่ๆมีก้อนเหม็นๆลอยมา ผะอืดผะอม อ้วกแตกกันหมด แต่น้ำที่มาท่วม หนักกว่านั้นเยอะครับ ไม่ต้องดม แค่เห็นหลายคนก็อาจจะแหวะ แล้วก็ได้
มีโรคเบสิค ๆ อย่างน้ำกัดเท้า หรือโรคร้ายแรงอย่างโรคฉี่หนู (Leptospirosis) ที่น่ากลัวมาก รุนแรงขนาดทำให้อวัยวะภายในล้มเหลว ถึงตายได้เลยทีเดียว ยังมีข่าวที่เราเห็นอยู่ทุกวัน คือ ข่าวคนโดนไฟดูดตาย ไฟฟ้ากับน้ำ นี่ไม่ถูกกันอย่างแรง และไฟฟ้า เป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็นด้วยสายตาอย่างพวกจระเข้ งู นะครับ น้ำที่ดูไม่มีอะไร แต่ถ้ามีไฟฟ้าเมื่อไหร่ ตายสถานเดียว ไม่มีใครช่วยคุณได้ (และก็เสี่ยงมากสำหรับคนที่จะเข้าไปช่วย)
4) ไม่ได้อยู่ในเขตเสี่ยง อีกนาน อยู่กรุงเทพมาเป็นสิบๆปี คงไม่ท่วมหรอ
รู้มั้ยครับ แผ่นดินไหว 8.9 ริคเตอร์ ที่ญี่ปุ่น จนเกิดสึนามึขนาดยักษ์เข้าถล่มประเทศ พังทุกอย่างจนราบ นั่นคือ แผ่นดินไหวที่รุนแรงที่สุด ครั้งแรก ในรอบ 300 ปี ของญี่ปุ่น
นิคมอุตสาหกรรมทั้ง 7 แห่งที่จมอยู่ตอนนี้ ตั้งแต่สร้างมา ไม่เคยโดนน้ำท่วมเลยนะครับ ปีก่อน จังหวัดอย่างนครราชสีมาหรือโคราชซึ่งเป็นที่ราบสูงกว่า กทม.มาก ปีที่แล้วน้ำท่วมหนัก ครั้งแรกในรอบ 100 ปี ก็เกิดขึ้นมาแล้วในช่วงชีวิตของเรา อาจจะไม่ได้เห็นภัยพิบัติ แต่ใช่ว่ามันจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในโลก และถึงจะไม่เคยเห็นมาก่อน ใช่ว่ามันจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้น ดังนั้น อย่าประมาทเด็ดขาด อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น

เจอคนชิวๆ ไม่เตรียมอะไร นึกถึงพวกตัวละครที่ตายก่อนเพื่อนในหนังภัยพิบัติทุกเรื่องอ่ะ จะต้องมีไอ้ตัวนี้เป็นเหยื่อ

5) รอน้ำมาก่อน ค่อยหนีก็ได้
เข้ากับสุภาษิตไทย "ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา" ความคิดแบบนี้เป็นความคิดที่แสดงถึงความประมาทอย่างมากครับ น้ำท่วม มาที ไม่ใช่แค่ไหลๆซึมๆ จะให้เราขับรถหนีไปแบบชิลล์ๆได้ น้ำมันมาทีมันมาแบบทะลัก ไหลมาด้วยปริมาณมหาศาลครับ บางที 10 นาที ท่วมไปครึ่งล้อรถ คือ ครึ่งชั่วโมง ท่วมมิดหัว แบบที่อยุธยาก็เกิดขึ้นมาแล้ว
ในเวลาแห่งความโกลาหล วินาทีวัดว่าจะตายหรือจะรอดเนี่ย คิดว่าจะมีเวลาเตรียมตัวอะไรมากมั้ยครับ น้ำมันไม่รอเราอยู่แล้ว ถึงเราจะเร็วแค่ไหน เชื่อมั้ยครับ คนแถวบ้านคุณมีอีกเป็นร้อย เป็นพันครอบครัว แย่งกันขับรถออกมา คิดว่าจะไปไหนได้ไกลมั้ยครับ
ถ้าน้ำท่วมขนาดนั้น ขับรถเร็วไม่ได้ หรืออาจจะขับไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แถมเสี่ยงเครื่องยนต์ดับอีกต่างหาก (ซึ่งถ้ามันดับ คุณจะอยู่รอตายไปกับรถ เพราะเสียดายรถ หรือ จะทิ้งรถแล้วหนีเพราะเสียดายชีวิต) ความโกลาหล จะเป็นอุปสรรคสำคัญในการเอาชีวิตรอดครับ ยิ่งถ้าคุณไม่ใช่ตัวคนเดียว มีลูก มีครอบครัว มีพ่อแม่ มีคนสูงอายุ มีหมาแมว ลองคิดดูครับ ว่าคุณจะหนียังไง
ปกติ คุณอาจจะมีรถเก๋งคันเดียว ไม่เคยมีคนนั่งไปครบสมาชิก ที่ต้องการความจุระดับรถตู้ ใครจะเป็นคนหนี แล้วคนที่เหลือทำยังไง คิดกันรึยังครับ?ถ้าหวังความช่วยเหลือจากทางการ ที่อาจจะมาหรือไม่มาทันเวลาก็ได้ ปัญหาที่ผมได้ยินมา คือ รถ 6 ล้อของทหาร สูงมาก คนแก่ปีนขึ้นไม่ไหว ต้องใช้คนแบกขึ้นไป ไหนจะลูกเล็กๆ ตัวเปี๊ยกๆ อีกล่ะ?ตัวคนเดียว หนีไม่ยากหรอกครับ แต่ต้องเป็นห่วงความปลอดภัยของชีวิตคนที่คุณรักด้วย
และบางทีอาจจะเป็นการสร้างความลำบากให้กับทีมผู้ช่วยเหลือ แทนที่เค้าจะไปช่วยเหลือคนอื่น ที่โอกาสเป็นตายเท่าๆกัน อาสาสมัครหลายคนต้องมาเสียเวลาช่วยแต่ครอบครัวคุณ ปัญหาเหล่านี้ เกิดจากการตัดสินใจที่ช้าเกินไป ในการตัดสินใจของเรารึเปล่า ลองคิดดูให้ดีนะครับ ลองดูคลิปนี้นะครับ ดูว่าระดับน้ำเวลามันมา จะเป็นยังไง
6) ก่อกำแพง กระสอบทรายหน้าบ้านแล้วรอด

การแก้ปัญหาน้ำ ย่อมแตกต่างกันไปในแต่ละที่ ใช้วิธีแก้ไขที่ไม่เหมือนกัน แล้วแต่ลักษณะทางภูมิศาสตร์ล้อมรอบ ซึ่งต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ ในการแก้ปัญหา เราไม่ใช่ผู้รู้ขนาดนั้น รู้แค่ว่าจะกั้นไม่ให้มันเข้ามาบ้านยังไง แค่นั้นเอง ซึ่งไม่พอครับ
ทางที่น้ำจะมา ไม่ใช่มีแค่หน้าบ้านเท่านั้นนะครับ รอบบ้านคุณป้องกันดีแค่ไหน ที่สำคัญ น้ำมันจะทะลักมาทางท่อครับ ท่อระบายน้ำในบ้านของคุณ ไม่ใช่แค่ซึมๆนะครับ แต่ในระดับ "ทะลัก" ซึ่งถ้าคุณไม่ได้ป้องกันไว้ บ้านคุณไม่เหลือแน่ ไม่มีทางป้องกันทัน เพราะมันจะเร็วจนตั้งตัวไม่ติด และความดันน้ำที่มา มีพลังสูงมากครับ ที่เค้าเรียกกันว่า "มวลน้ำ" ที่เห็นในข่าว นิคมต่างๆที่มีการป้องกันที่หนาแน่น คันป้องกันน้ำ มันพังได้ยังไง
มันพังได้ก็เพราะพลังจากแรงดันของน้ำ ที่จะคอยกัดเซาะ สิ่งที่กีดขวางมันอยู่ แค่ลำพังกระสอบทราย คงป้องกันได้ระดับนึงเท่านั้น พวกนิคมต่างๆที่พัง เพราะ คันกั้นน้ำ อ่อนแอ (เพิ่งสร้าง คล้ายๆกับกำแพงที่เพิ่งก่อ ปูนย่อมไม่แห้งดี ประมาณนั้น)
และการที่หยุดมวลน้ำเหล่านี้ไว้ด้วยวิธีกั้น มันจะสะสมพลังงานไว้ พอได้ระดับนึง ก็จะเซาะสิ่งที่ปิดกั้นมันพังได้ (ซึ่งการปล่อยระบายบางส่วน คือ การลดพลังงานที่สะสมไว้) ขนาดนิคม ยังกั้นไม่ได้ อย่าได้คิดว่า แค่กระสอบทรายหน้าบ้านที่คุณกรอกเอง หรือซื้อเค้ามา จะช่วยอะไรได้นะครับ
ลองดูคลิบนี้ได้ครับ "น้ำท่วมนวนคร" ทั้งการทะลักของน้ำ และความโกลาหลที่เกิดขึ้น
ชีวิตทั้งชีวิตของเราและครอบครัว อย่าผูกมันไว้กับเงิน งาน ทรัพย์สินต่าง ๆ ไม่ต้องไปเสียดาย ไม่ต้องไปอาลัย ของแบบนี้ แม้ว่าจะดูพูดง่าย ตัดใจยาก แต่อย่าไปยึดติดนะครับ

สตีฟ จ๊อบส์ ผู้ก่อตั้งบริษัท Apple ผู้ล่วงลับ เคยกล่าวเอาไว้ว่า "เราจะรู้ว่าอะไรสำคัญที่สุดในชีวิต ก็ต่อเมื่อเรากำลังจะตาย"
ณ ช่วงวินาทีสำคัญของชีวิต สิ่งสำคัญที่สุดของคุณคือ "ความสำคัญของการมีชีวิตอยู"ไม่ใช่ รถ บ้าน ทรัพย์สินเงินทอง เหล่านี้

วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ความหมายของ OK

คนส่วนใหญ่ น้อยคนนักที่ไม่รู้จักคำว่า O.K. เรามักจะได้ยินคนพูดกันติดปาก ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุ ไม่ว่าวัยใดก็ตาม แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า.. คำคำนี้มีที่มาอย่างไร ?
คำว่า O.K. มาจากคำเต็มว่า Oll Korrect ซึ่งที่ถูกต้องคือ All Correct ( แปลว่า ถูกต้อง ) มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจจาก พ่อค้าชาวอเมริกันคนหนึ่ง มีฐานะ ตำแหน่งหน้าที่การงานสูง แต่การศึกษาน้อย ทุกครั้งที่เขาสั่งงานลงในใบสั่ง ถ้างานชิ้นใดถูกต้อง ตกลง และอนุมัติ เขาจะ เขียนคำว่า Oll Korrect ลงในใบสั่งใบนั้นเสมอๆ ต่อมากิจการของพ่อค้าคนนี้ มีความเจริญก้าวหน้ามาก งานที่ติดต่อมาก็มีมากขึ้น ใบสั่งงานก็มีมากมายล้นโต๊ะ การที่เขาจะต้องเขียนคำ Oll Korrect ลงในใบสั่งทุกใบทำให้ต้องใช้เวลามาก เขาจึงย่อเหลือเพียงสั้นๆ คำ O.K. ซึ่งมีผล และความหมายเหมือนกัน คำว่า "อนุมัติ" นั่นเอง และก็เลยมีการใช้กัน อย่างแพร่หลาย ทั้งภาษาพูด และภาษาเขียน มากันจนปัจจุบันทั่วโลกทีเดียว.

โรคต้อหินชนิดเรื้อรัง เกิดจากความไม่สมดุลระหว่างการใช้สายตา(Demand)และปริมาณเลือดแดงที่เข้ามาเลี้ยงเซลล์ประสาทตาภายในลูกตา(Supply) เมื่อเซลล์ประสาทตาได้รับเลือดมาหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอ จะค่อยๆทยอยเฉาตายลงไปเรื่อยๆ ความดันลูกตาที่สูงกว่าปกติ เป็นเพียงสาเหตุรองที่ต้านระบบไหลเวียนเลือด ทำให้ภาวะขาดเลือดดังกล่าวเลวลงไปอีก
ในอนาคตประเทศไทยจะมีผู้ป่วยโรคต้อหินเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจและสภาพเศรษฐกิจที่รัดตัว ผู้คนจะทำงานหนักมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้สายตา บวกกับความเจริญทางด้านไอที ทำให้มีการใช้คอมพิวเตอร์กันมากขึ้น และจะพบผู้ป่วยโรคต้อหินอายุน้อยลงเรื่อยๆ (จากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน การเล่นเกมส์ และการใช้อินเตอร์เน็ต) และเป็นกลุ่มของโรคต้อหินที่ไม่จำเป็นต้องมีค่าความดันลูกตาสูง ทำให้วินิจฉัยได้ยาก เหมือนในประเทศญี่ปุ่น ที่ขณะนี้มีผู้ป่วยโรคต้อหินชนิดความดันลูกตาปกติมากที่สุดในโลก
อาการของโรคต้อหิน มีความสำคัญในการช่วยให้ผู้ป่วยรู้ตัวว่าเป็นต้อหิน และนำผู้ป่วยให้ไปพบจักษุแพทย์ ทำให้ได้รับการวินิจฉัยโรคได้เร็วขึ้น อาการของโรคต้อหิน มีอะไรบ้าง?
1. ตาพร่า ตามัว เห็นภาพเบลอซ้อน หรือตามืดบอดชั่วขณะหนึ่ง
2. เห็นจุดแสงดำขาวเต็มไปหมด หรือเห็นเป็นแสงระยิบระยับเมื่อมองไปกลาง
3. ปวดในเบ้าตาลึกๆและปวดศีรษะข้างเดียวคล้ายไมเกรน หรือปวดจี๊ดขึ้น
4. ตาจะพร่า เมื่อมองวัตถุบนพื้นที่มีแสงจัดหรือบนพื้นที่มันวาว
5. อ่านหนังสือไม่ทน ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือดูโทรทัศน์ ได้ไม่นาน
6. เห็นดวงไฟมีแสงเจิดจ้า เป็นรัศมีกระจาย เห็นเป็นฝ้าหมอกหรือวงสีรุ้ง รอบดวงไฟ
7. เห็นแสงวาบคล้ายฟ้าแลบ หรือเห็นลำแสงวิ่งผ่านตา หรือเห็นเป็นเส้นหยักๆที่หางตา
8. มีความลำบากในการสังเกตุพื้นต่างระดับเวลาก้าวเดิน หรือเวลาขึ้นลงบันได
9. เห็นสีจืดจางลงหรือผิดเพี้ยนไป เห็นตัวหนังสือเลือนรางหรือแตกพร่า
10. การมองในที่มืดแย่ลง เห็นหน้าคนไม่ชัด และไม่กล้าขับรถในเวลากลางคืน
11. เวลาขับรถลงอุโมงค์ลอดทางแยกหรือเดินเข้าที่ร่มในเวลาแดดจัด ตาจะมืดบอดชั่วขณะ
12. เวลามองผ่านกระจกหน้ารถในทิศทางย้อนแสงอาทิตย์ ตาจะพร่าและสู้แสงไม่ค่อยได้
13. เวลากลางคืนมักจะเดินชนข้าวของเป็นประจำ ชอบที่จะเปิดไฟทุกดวงเท่าที่มี
14. มองสิ่งที่เคลื่อนที่เร็วๆไม่ทัน ทำให้ไม่มั่นใจเวลาขับรถหรือเดินข้ามถนนคนเดียว
15. ตาสู้แสงไม่ได้ ต้องใส่แว่นดำเป็นประจำ
16. เห็นแสงมืดลงไปเรื่อยๆ หรือเห็นเป็นหมอกควันอยู่ทั่วๆไป
17. ลานสายตาแคบเข้ามาเรื่อยๆ จนระยะท้ายเหมือนมองผ่านท่อกลม

วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2554

"ฟองน้ำ"ล้างจานแหล่งรวมเชื้อโรค


นางอรุณ บ่างตระกูลนนท์ รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข และในฐานะผู้วิจัยเรื่องอันตรายจากเชื้อโรคอาหารเป็นพิษ และปริมาณจุลินทรีย์ในแผ่นใยขัดและฟองน้ำทำความสะอาดภาชนะบรรจุอาหาร เปิดเผยว่า จากการเก็บตัวอย่างแผ่นใยขัดและฟองน้ำที่ใช้ล้างทำความสะอาดภาชนะบรรจุอาหาร และอุปกรณ์ประกอบอาหาร
เพื่อมาหาปริมาณจุลินทรีย์ และเชื้อแบคทีเรียก่อโรคเป็นพิษ พบว่าแผ่นใยขัดและฟองน้ำที่เก็บจากร้านค้าจำหน่ายอาหารมีปริมาณการปนเปื้อนเชื้อ จุลินทรีย์ทั้งชนิดที่ไม่ทำให้ป่วย และชนิดที่รุนแรงที่ทำให้ป่วย ส่วนเชื้อแบคทีเรียก่อโรคอาหารเป็นพิษในแผ่นใยและฟองน้ำจากร้านค้า โดยเชื้อโรคที่พบ ได้แก่ เชื้อซัมโมเนลล่า ซึ่งทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษและโรคอุจจาระร่วง เชื้ออหิวาต์เทียม ที่มีอาการท้องร่วงไม่รุนแรงเท่ากับโรคอหิวาต์

"จากงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าแผ่นใยขัดและฟองน้ำที่พบเชื้อโรคอาหารเป็นพิษ นั้นสามารถตรวจพบได้ทั้งในจาน ชาม ช้อน พร้อมกันนี้จำนวนเชื้อจุลินทรีย์ที่พบในแผ่นใยขัดและฟองน้ำมีอัตราสูงมาก ซึ่งพอเป็นข้อมูลได้ว่า โอกาส ที่เชื้อจุลินทรีย์ในแผ่นใยขัดและฟองน้ำอาจติดไปกับภาชนะที่ใช้แผ่นใย ขัดและฟองน้ำล้างทำความสะอาดได้ และโอกาสปนเปื้อนในอาหารได้" วิธีการทำลายเชื้อจุลินทรีย์ในแผ่นใยขัดและฟองน้ำหลังผ่านการล้างทำความ สะอาดภาชนะอุปกรณ์ต่างๆ โดยพบวิธีที่ง่ายและสามารถทำได้ทุกครัวเรือน คือ การใช้กรดน้ำส้มหรือน้ำส้มสายชู 4 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำเปล่าครึ่งลิตร แล้วนำแผ่นใยขัดหรือฟองน้ำที่ผ่านการล้างภาชนะในแต่ละวันมาแช่ทิ้งไว้ค้าง คืน และเปลี่ยนน้ำส้มสายชูใหม่ทุกวัน ภาวะที่มีความเป็นกรดสูงนั้น จะช่วยให้สามารถลดปริมาณเชื้อจุลินทรีย์ดังกล่าวลงให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย แก่การบริโภค
หรือไม่ก็ควรนำไปตากแดดจัด อย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง ความร้อนจากแสงแดดก็จะช่วยลดปริมาณจุลินทรีย์เช่นเดียวกัน



"ที่สำคัญไม่เพียงเท่านี้ควรทำความสะอาดแผ่นใยขัดและฟองน้ำ โดยผึ่งและทำให้แห้งหลังการใช้งานทุกครั้ง ไม่ควรแช่น้ำยาล้างจานทิ้งไว้จนกว่าจะมีการล้างครั้งใหม่ เนื่องจากไม่สามารถช่วยฆ่าเชื้อโรคได้ ยังเป็นตัวหมักหมมเชื้อโรคด้วย ทั้งนี้ ควรเปลี่ยนแผ่นใยขัดและฟองน้ำบ่อยๆ ไม่ควรเก็บไว้ใช้นานจนเกินไป"