วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เกาะพิทักษ์



เกาะพิทักษ์ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลอ่าวไทย มีเนื้อที่ 712 ไร่ มีประชากร 44 ครัวเรือน ประชาชนเริ่มอพยพมาอยู่อาศัยเมื่อ พ.ศ. 2434 โดยบุคคลแรกที่เข้าไปอาศัยยังเกาะพิทักษ์คือ นายเดช เดชาฤทธิ์
เมื่อมีการจัดตั้งหมู่บ้านตามลักษณะการปกครองท้องที่ พ.ศ. 2464 จึงได้มีการตั้งชื่อหมู่บ้านเป็น บ้านเกาะพิทักษ์
บ้านเกาะพิทักษ์ ได้ชื่อว่าเป็นชุมชนที่อนุรักษ์สภาพแวดล้อมทางทะเลได้ดีเด่น ปัจจุบันบ้านเกาะพิทักษ์ ยังเป็นศูนย์อนุรักษ์หอยมือเสือ และยังมีปะการังสวยงามรอบๆ เกาะ รวมถึงเกาะไกลเคียงอย่าง "เกาะคราม" ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากเกาะฯ ประมาณ 1 กิโลเมตร
เกาะพิทักษ์มีจุดเด่นที่น่าสนใจคือ การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ อนุรักษ์ไว้ซึ่งสิ่งแวดล้อม และระบบนิเวศน์ เช่น หาดทรายที่สวยงามยังคงความเป็นธรรมชาติ อนุรักษ์หอยมือเสือ ดำน้ำชมปะการัง ชมวิถีชีวิตชาวประมง (ไดร์หมึก, วางอวน, ตกปลา ฯลฯ) และชมปลาโลมาสีชมพู (กันยายน-ตุลาคม)










เกาะพิทักษ์ เป็นเกาะเล็กๆ ที่อยู่ห่างฝั่งเพียง 1 กิโลเมตร มีหมู่บ้านชาวประมงพื้นบ้านกระจายอยู่รอบเกาะ ที่ราบบนเกาะมีไม่มากนัก บ้านเรือนบางส่วนจึงปลูกอยู่เหนือน้ำ นอก จากทำประมงแล้ว ชาวบ้านปลูกมะพร้าวเป็นรายได้หลักอีกทางหนึ่ง อีกทั้งการทำประมงแบบพื้นบ้าน ด้วยเครื่องมือหาปลาแบบพื้นถิ่น และชาวบ้านร่วมมือกันรักษาสภาพแวดล้อมของชุมชนและแหล่งทำมาหากิน จึงทำให้ท้องทะเลบริเวณเกาะ พิทักษ์ยังคงความอุดมสมบูรณ์ การท่องเที่ยวแบบโฮมสเตย์บนเกาะพิทักษ์จึงเป็นการเรียนรู้วิถีชีวิตชุมชน การเข้าใจการอยู่ร่วมกันแบบพึ่งพาอาศัยกันระหว่างคนกับธรรมชาติ นอกจากนี้แล้ว นักท่องเที่ยวอาจได้ออกเรือประมงกับชาวบ้านเพื่อไปตกปลาหมึกในยามกลางคืน หรือไปดำน้ำดูหอยมือเสือที่หาดูได้ยากในแหล่งอื่น รวมทั้งอาจศึกษาวิธีการ ทำน้ำมันมะพร้าวจากชาวบ้าน






อาบน้ำบ่อย...ใครว่าดี

"อาบน้ำบ่อยใช่ว่าสะอาดจริง"
การอาบน้ำล้างหน้าบ่อย ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนังบอกว่ากลับทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับผิวหนังง่ายขึ้น เนื่องจากผิวหนังคนเราก็มีภูมิต้านทานตามธรรมชาติเป็นเสมือนยาฆ่าเชื้ออยู่แล้วเพื่อช่วยป้องกันการอักเสบหรืออาการพุพองต่าง ๆ หรือเกิดอาการแสบคัน จะเห็นได้จากเมื่อเกิดแผลขึ้นและแผลเป็นหนอง แสดงว่าเป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่กำลังต่อสู้กับเชื้อโรคอยู่ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยทูบิงเคมในเยอรมัน พบว่า เหงื่อของเรามีสาร "เดอร์ เมดิซีน" มีสรรพคุณช่วยปกป้องผิวหนังจากการอักเสบ ที่ทำให้ผิวหนังเป็นผื่นคัน สารตัวนี้ผลิตได้จากต่อมเหงื่อทั่วร่างกาย มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียก่อนที่แบคทีเรียจะทำอันตรายกับผิว
"ควรเลือกที่ไม่ระคายเคืองผิวหนัง"สิ่งที่จะทำให้ยาฆ่าเชื้อบนผิวหนังเราถูกกำจัดไปอีกอย่างหนึ่งก็คือ สารระคายเคืองต่อผิวหนังจากผงซักฟอก สบู่ น้ำยาล้างจาน ฯลฯ การเลือกซื้อน้ำยาต่าง ๆ นี้ก็ควรเลือกชนิดที่ไม่ทำความระคายเคืองให้กับผิวหนัง สังเกตได้หลังจากการใช้จะทำให้ผิวแห้งผาก เกิดอาการคัน บ้านเมืองของชาวตะวันตกมีอากาศหนาวเย็นจึงไม่อาจอาบน้ำได้บ่อยเท่าเมืองเราที่เป็นเมืองร้อน เพราะผิวจะแห้งจากการถูกทำลายน้ำมันธรรมชาติ สำหรับบ้านเราแถบทางเหนือคงจะคล้ายกัน แต่ในภาคอื่นหรือในกรุงเทพฯที่ผู้คนต้องเบียดเสียดขึ้นรถเมล์ หากไม่อาบน้ำบ่อยคงส่งกลิ่นให้เพื่อนร่วมทางต้องสลบกันไปบ้างแหละ

วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ความเชื่อผิด ๆ ในภาวะน้ำท่วม


ผมลองรวบรวมบทสนทนาจากผู้ประสบภัยที่เผยแพร่ตามสื่อต่าง ๆ ในรอบหลายวันที่ผ่านมาครับ ถ้านึกอะไรออกจะมาแก้ไขเพิ่มเติมเรื่อย ๆ ทั้งหมดนี้ จะเป็นประเด็นใหญ่ ๆ ที่หลายคน มักจะ "้เข้าใจผิด" หรือมีความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง ที่อาจจะมาจากการขาดข้อมูลที่สำคัญ ๆ การพลาดการติดตามข่าวสารต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้อาจจะนำพามาซึ่งความชะล่าใจ ความประมาท ซึ่งมันทำให้หลายคน "ชิบหาย" มาแล้ว เพราะคิดแบบนี้

1) ซื้อเสบียงมาแล้ว อยู่ได้เป็นเดือน โดนน้ำปิดทางเข้าออก ก็ไม่กลัว
หลายวันที่ผ่านมา ห้างค้าปลีกในกทม. มีแต่คนไปแย่งซื้อของ แย่งกันตุน ไม่ว่าจะเป็น เนื้อหมู ไข่ไก่ ผัก ผลไม้ มาม่า ปลากระป๋อง ข้าวสาร แน่นอนว่า การตุน ทำให้ทุกคนอุ่นใจ มีมาม่า 3 โหล มี ปลากระป๋องพอกินได้เป็นเดือนๆ
สิ่งเหล่านี้แทบจะหมดค่าไป ถ้าที่อยู่อาศัยของคุณถูกการไฟฟ้าตัดไฟ แล้วยังจะทำอะไรได้อีกครับ เจอแบบนี้? ถ้าอยู่บ้าน ก็โชคดีหน่อย เนื้อหมู ไข่ไก่ ข้าว สามารถหุงหรือทำให้มันร้อน สุก ได้โดยใช้เตาแก้ส แต่ถ้าอยู่คอนโด ชีวิตลำบากแล้วครับ เพราะนิติบุคคลคงไม่อนุญาตให้เราใช้เตาแก้สแน่นอน เพราะเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัย แทบจะหมดโอกาสต้มมาม่า หุงข้าว เลยนะครับ
อย่างมากก็เอาขนมขบเคี้ยวมากิน (แล้วมันจะอิ่มมั้ย กินมากๆอันตรายต่อร่างกายด้วยนะครับ มีแต่แป้งกับไขมัน จากน้ำมันที่ทอด ยิ่งพวกมันฝรั่งทอดนี่ตัวดี) และอาจจะมีปลากระป๋องที่เปิดกินได้เลย ไม่ต้องผ่านกรรมวิธีการปรุงอะไร
อ้อ!! อย่าลืมนะครับ ไม่มีไฟฟ้า ตู้เย็นก็ไม่ทำงาน เสบียงที่ตุนมา ไม่ช้าก็เน่าเสีย คาตู้เย็นน่ะแหล่ะ และถ้าไฟดับ WiFi หรืออินเตอร์เน็ต ที่บ้านคุณก็ใช้ไม่ได้ทันที ทีวี วิทยุก็ใช้ไม่ได้ สิ่งที่คุณทำได้ คือ การใช้มือถือ หรือสมาร์ทโฟน ต่อเน็ต เพื่อเช็คข่าวสารต่าง ๆ
ซักสองสามทุ่ม แบตมือถือก็หมดแล้วครับ จะชาร์จ ก็ชาร์จไม่ได้ เพราะไม่มีไฟฟ้าให้ชาร์จ พอโทรศัพท์แบตหมด คุณก็จะถูกตัดขาดจากโลกภายนอกทันที คุณไม่สามารถโทรหาใครได้ และไม่มีใครโทรติดต่อหาคุณได้เช่นกัน ทีวี วิทยุ ก็ใช้ไม่ได้ คุณไม่มีโอกาสที่จะรู้ข่าวสาร ความเคลื่อนไหวทุกอย่างในโลกใบนี้ นึกถึงความรู้สึกตอนแบตมือถือคุณหมดสิครับ หงุดหงิด รำคาญใจมากขนาดไหน เล่น Facebook Twitter แก้เซ็งก็ไม่ได้ เพราะแบตมือถือหมดแล้ว แทบจะลงแดง แน่นอนว่า ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น คุณจะอาการหนักกว่านั้นอีกหลายเท่า
การใช้ชีวิตกับความมืด อากาศก็ร้อน แม้แต่พัดลมยังใช้งานไม่ได้ ให้ลองนึกภาพเวลาไฟดับ แค่ 2 ชั่วโมง เราก็แทบจะขาดใจ อากาศจะหายใจยังไม่ค่อยมี ยังร้อนอีก ใช้ชีวิตยากกว่าเดิม ลำบากกว่าเดิม หลายเท่า
และถ้าเลวร้าย ไฟดับเป็นอาทิตย์แบบแฟลตแถวดอนเมือง ที่ออกข่าวช่อง 3 ไป คิดว่าจะอยู่กันได้มั้ยครับ? 1 อาทิตย์ ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำใช้ ท่ามกลางน้ำสูงระดับ เอว ไปไหนกันไม้ได้ทั้งแฟลตเลย ท่ามกลางน้ำเน่าที่ท่วมรอบแฟลต ยิ่งถ้าถูกตัดน้ำ จะทำยังไงครับ? น้ำต้องใช้กิน ใช้ประกอบอาหาร คุณอาจจะตุนน้ำดื่มไว้ สามโหล พอกินไปเป็นเดือนๆ แต่น้ำที่ใช้อาบ ชำระร่างกาย หรือ เวลาขับถ่าย จะมีน้ำพอใช้รึเปล่า เราอาจจะไม่อาบน้ำได้เป็นอาทิตย์ๆ แต่เราก็ยังต้องขับถ่ายปกติ
รู้มั้ยครับว่า การกดชักโครกที น้ำหายไป 6 ลิตร เป็นอย่างน้อย (นอกจากใช้รุ่นประหยัดสุดๆ 4 ลิตร) ถ้าถูกตัดน้ำ ก็ทำธุระส่วนตัวแค่ทีเดียว กดน้ำทีกดเกลี้ยงแล้ว ครั้งต่อไป คุณจะทำยังไง เอาน้ำดื่มที่คุณตุนมาราด ต้องเสียไปครั้งละ 6 ขวดลิตรเลยนะครับ?
ทางแก้ คือ ถ่ายใส่ถุงดำที่เตรียมไว้ แต่ถ้าหลายวัน จะทนได้เหรอครับ ไม่มีรถขยะมาเก็บขยะให้เราแล้วนะ อย่าลืมว่า เพื่อนบ้านคุณ อาจจะไม่ได้ถ่ายใส่ถุงดำอย่างคุณ เค้าอาจจะใส่ถุงแล้วโยนทิ้งลงน้ำมาก็ได้ (ใครจะอยากเก็บไว้กับตัวเองล่ะ) สิ่งเหล่านี้มันก็จะลอยตามน้ำมา และอาจจะหยุดอยู่ที่บ้านคุณ (แค่คิดก็สยองแล้ว)
จะสยองกว่านี้อีกครับ เพราะระบบการระบายของบ้านและคอนโด จะทำงานไม่ได้ เพราะมันเต็มไปด้วยน้ำมากมาย เกิดอาการทะลักของสิ่งปฏิกูลในบ้านและคอนโด เพิ่มเข้ามาอีก
2) น้ำมา ก็ขึ้นไปอยู่ชั้น 2 ได้ บ้านมีหลายชั้น
ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า น้ำที่ท่วม ไม่ใช่น้ำใส ๆ ครับ มันเป็นน้ำที่พัดมาจากไหนก็ไม่รู้ ทั้งดำทั้งเหม็น สิ่งปฏิกูลต่างๆก็อยู่ในนั้นแหล่ะ ไหนจะยุง งู ตะขาบ จระเข้ ซากหนูตาย หมาแมวที่จมน้ำตาย สารพัดจะลอยมากับน้ำ
นึกภาพเราหนีไปอยู่ชั้น 2 หนีออกไปไหนไม่ได้ ชั้น 1 ที่ท่วม เป็นน้ำกึ่งๆเน่า เหม็นก็เหม็น จะอยู่กับมันได้มั้ยครับ? และถ้ามันล้นขึ้นมาชั้นที่ 2 คุณจะยังมีชั้นที่ 3 ให้ขึ้นไปอยู่มั้ย ถ้าไม่มี แย่แล้วนะครับ เพราะถ้าล้นขึ้นมาอีก ตายสถานเดีย
ดูน้ำท่วมที่ บางบัวทองครับมิดหัวก็มี
3) ภัยจากน้ำ หลายคนคงจินตนาการว่า น้ำท่วม ก็คือ มีแต่น้ำ จะอันตรายก็แค่จมน้ำ

คิดผิดถนัดเลยครับ ในน้ำที่มาท่วมเนี่ย มีสัตว์เลื้อยคลานลอยตามมาด้วย สิ่งปฏิกูลสารพัด ก็ติดมาด้วย นึกภาพคุณกำลังว่ายน้ำอยู่ในสระใสๆ แล้วอยู่ๆมีก้อนเหม็นๆลอยมา ผะอืดผะอม อ้วกแตกกันหมด แต่น้ำที่มาท่วม หนักกว่านั้นเยอะครับ ไม่ต้องดม แค่เห็นหลายคนก็อาจจะแหวะ แล้วก็ได้
มีโรคเบสิค ๆ อย่างน้ำกัดเท้า หรือโรคร้ายแรงอย่างโรคฉี่หนู (Leptospirosis) ที่น่ากลัวมาก รุนแรงขนาดทำให้อวัยวะภายในล้มเหลว ถึงตายได้เลยทีเดียว ยังมีข่าวที่เราเห็นอยู่ทุกวัน คือ ข่าวคนโดนไฟดูดตาย ไฟฟ้ากับน้ำ นี่ไม่ถูกกันอย่างแรง และไฟฟ้า เป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็นด้วยสายตาอย่างพวกจระเข้ งู นะครับ น้ำที่ดูไม่มีอะไร แต่ถ้ามีไฟฟ้าเมื่อไหร่ ตายสถานเดียว ไม่มีใครช่วยคุณได้ (และก็เสี่ยงมากสำหรับคนที่จะเข้าไปช่วย)
4) ไม่ได้อยู่ในเขตเสี่ยง อีกนาน อยู่กรุงเทพมาเป็นสิบๆปี คงไม่ท่วมหรอ
รู้มั้ยครับ แผ่นดินไหว 8.9 ริคเตอร์ ที่ญี่ปุ่น จนเกิดสึนามึขนาดยักษ์เข้าถล่มประเทศ พังทุกอย่างจนราบ นั่นคือ แผ่นดินไหวที่รุนแรงที่สุด ครั้งแรก ในรอบ 300 ปี ของญี่ปุ่น
นิคมอุตสาหกรรมทั้ง 7 แห่งที่จมอยู่ตอนนี้ ตั้งแต่สร้างมา ไม่เคยโดนน้ำท่วมเลยนะครับ ปีก่อน จังหวัดอย่างนครราชสีมาหรือโคราชซึ่งเป็นที่ราบสูงกว่า กทม.มาก ปีที่แล้วน้ำท่วมหนัก ครั้งแรกในรอบ 100 ปี ก็เกิดขึ้นมาแล้วในช่วงชีวิตของเรา อาจจะไม่ได้เห็นภัยพิบัติ แต่ใช่ว่ามันจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในโลก และถึงจะไม่เคยเห็นมาก่อน ใช่ว่ามันจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้น ดังนั้น อย่าประมาทเด็ดขาด อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น

เจอคนชิวๆ ไม่เตรียมอะไร นึกถึงพวกตัวละครที่ตายก่อนเพื่อนในหนังภัยพิบัติทุกเรื่องอ่ะ จะต้องมีไอ้ตัวนี้เป็นเหยื่อ

5) รอน้ำมาก่อน ค่อยหนีก็ได้
เข้ากับสุภาษิตไทย "ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา" ความคิดแบบนี้เป็นความคิดที่แสดงถึงความประมาทอย่างมากครับ น้ำท่วม มาที ไม่ใช่แค่ไหลๆซึมๆ จะให้เราขับรถหนีไปแบบชิลล์ๆได้ น้ำมันมาทีมันมาแบบทะลัก ไหลมาด้วยปริมาณมหาศาลครับ บางที 10 นาที ท่วมไปครึ่งล้อรถ คือ ครึ่งชั่วโมง ท่วมมิดหัว แบบที่อยุธยาก็เกิดขึ้นมาแล้ว
ในเวลาแห่งความโกลาหล วินาทีวัดว่าจะตายหรือจะรอดเนี่ย คิดว่าจะมีเวลาเตรียมตัวอะไรมากมั้ยครับ น้ำมันไม่รอเราอยู่แล้ว ถึงเราจะเร็วแค่ไหน เชื่อมั้ยครับ คนแถวบ้านคุณมีอีกเป็นร้อย เป็นพันครอบครัว แย่งกันขับรถออกมา คิดว่าจะไปไหนได้ไกลมั้ยครับ
ถ้าน้ำท่วมขนาดนั้น ขับรถเร็วไม่ได้ หรืออาจจะขับไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แถมเสี่ยงเครื่องยนต์ดับอีกต่างหาก (ซึ่งถ้ามันดับ คุณจะอยู่รอตายไปกับรถ เพราะเสียดายรถ หรือ จะทิ้งรถแล้วหนีเพราะเสียดายชีวิต) ความโกลาหล จะเป็นอุปสรรคสำคัญในการเอาชีวิตรอดครับ ยิ่งถ้าคุณไม่ใช่ตัวคนเดียว มีลูก มีครอบครัว มีพ่อแม่ มีคนสูงอายุ มีหมาแมว ลองคิดดูครับ ว่าคุณจะหนียังไง
ปกติ คุณอาจจะมีรถเก๋งคันเดียว ไม่เคยมีคนนั่งไปครบสมาชิก ที่ต้องการความจุระดับรถตู้ ใครจะเป็นคนหนี แล้วคนที่เหลือทำยังไง คิดกันรึยังครับ?ถ้าหวังความช่วยเหลือจากทางการ ที่อาจจะมาหรือไม่มาทันเวลาก็ได้ ปัญหาที่ผมได้ยินมา คือ รถ 6 ล้อของทหาร สูงมาก คนแก่ปีนขึ้นไม่ไหว ต้องใช้คนแบกขึ้นไป ไหนจะลูกเล็กๆ ตัวเปี๊ยกๆ อีกล่ะ?ตัวคนเดียว หนีไม่ยากหรอกครับ แต่ต้องเป็นห่วงความปลอดภัยของชีวิตคนที่คุณรักด้วย
และบางทีอาจจะเป็นการสร้างความลำบากให้กับทีมผู้ช่วยเหลือ แทนที่เค้าจะไปช่วยเหลือคนอื่น ที่โอกาสเป็นตายเท่าๆกัน อาสาสมัครหลายคนต้องมาเสียเวลาช่วยแต่ครอบครัวคุณ ปัญหาเหล่านี้ เกิดจากการตัดสินใจที่ช้าเกินไป ในการตัดสินใจของเรารึเปล่า ลองคิดดูให้ดีนะครับ ลองดูคลิปนี้นะครับ ดูว่าระดับน้ำเวลามันมา จะเป็นยังไง
6) ก่อกำแพง กระสอบทรายหน้าบ้านแล้วรอด

การแก้ปัญหาน้ำ ย่อมแตกต่างกันไปในแต่ละที่ ใช้วิธีแก้ไขที่ไม่เหมือนกัน แล้วแต่ลักษณะทางภูมิศาสตร์ล้อมรอบ ซึ่งต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ ในการแก้ปัญหา เราไม่ใช่ผู้รู้ขนาดนั้น รู้แค่ว่าจะกั้นไม่ให้มันเข้ามาบ้านยังไง แค่นั้นเอง ซึ่งไม่พอครับ
ทางที่น้ำจะมา ไม่ใช่มีแค่หน้าบ้านเท่านั้นนะครับ รอบบ้านคุณป้องกันดีแค่ไหน ที่สำคัญ น้ำมันจะทะลักมาทางท่อครับ ท่อระบายน้ำในบ้านของคุณ ไม่ใช่แค่ซึมๆนะครับ แต่ในระดับ "ทะลัก" ซึ่งถ้าคุณไม่ได้ป้องกันไว้ บ้านคุณไม่เหลือแน่ ไม่มีทางป้องกันทัน เพราะมันจะเร็วจนตั้งตัวไม่ติด และความดันน้ำที่มา มีพลังสูงมากครับ ที่เค้าเรียกกันว่า "มวลน้ำ" ที่เห็นในข่าว นิคมต่างๆที่มีการป้องกันที่หนาแน่น คันป้องกันน้ำ มันพังได้ยังไง
มันพังได้ก็เพราะพลังจากแรงดันของน้ำ ที่จะคอยกัดเซาะ สิ่งที่กีดขวางมันอยู่ แค่ลำพังกระสอบทราย คงป้องกันได้ระดับนึงเท่านั้น พวกนิคมต่างๆที่พัง เพราะ คันกั้นน้ำ อ่อนแอ (เพิ่งสร้าง คล้ายๆกับกำแพงที่เพิ่งก่อ ปูนย่อมไม่แห้งดี ประมาณนั้น)
และการที่หยุดมวลน้ำเหล่านี้ไว้ด้วยวิธีกั้น มันจะสะสมพลังงานไว้ พอได้ระดับนึง ก็จะเซาะสิ่งที่ปิดกั้นมันพังได้ (ซึ่งการปล่อยระบายบางส่วน คือ การลดพลังงานที่สะสมไว้) ขนาดนิคม ยังกั้นไม่ได้ อย่าได้คิดว่า แค่กระสอบทรายหน้าบ้านที่คุณกรอกเอง หรือซื้อเค้ามา จะช่วยอะไรได้นะครับ
ลองดูคลิบนี้ได้ครับ "น้ำท่วมนวนคร" ทั้งการทะลักของน้ำ และความโกลาหลที่เกิดขึ้น
ชีวิตทั้งชีวิตของเราและครอบครัว อย่าผูกมันไว้กับเงิน งาน ทรัพย์สินต่าง ๆ ไม่ต้องไปเสียดาย ไม่ต้องไปอาลัย ของแบบนี้ แม้ว่าจะดูพูดง่าย ตัดใจยาก แต่อย่าไปยึดติดนะครับ

สตีฟ จ๊อบส์ ผู้ก่อตั้งบริษัท Apple ผู้ล่วงลับ เคยกล่าวเอาไว้ว่า "เราจะรู้ว่าอะไรสำคัญที่สุดในชีวิต ก็ต่อเมื่อเรากำลังจะตาย"
ณ ช่วงวินาทีสำคัญของชีวิต สิ่งสำคัญที่สุดของคุณคือ "ความสำคัญของการมีชีวิตอยู"ไม่ใช่ รถ บ้าน ทรัพย์สินเงินทอง เหล่านี้

วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ความหมายของ OK

คนส่วนใหญ่ น้อยคนนักที่ไม่รู้จักคำว่า O.K. เรามักจะได้ยินคนพูดกันติดปาก ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุ ไม่ว่าวัยใดก็ตาม แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า.. คำคำนี้มีที่มาอย่างไร ?
คำว่า O.K. มาจากคำเต็มว่า Oll Korrect ซึ่งที่ถูกต้องคือ All Correct ( แปลว่า ถูกต้อง ) มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจจาก พ่อค้าชาวอเมริกันคนหนึ่ง มีฐานะ ตำแหน่งหน้าที่การงานสูง แต่การศึกษาน้อย ทุกครั้งที่เขาสั่งงานลงในใบสั่ง ถ้างานชิ้นใดถูกต้อง ตกลง และอนุมัติ เขาจะ เขียนคำว่า Oll Korrect ลงในใบสั่งใบนั้นเสมอๆ ต่อมากิจการของพ่อค้าคนนี้ มีความเจริญก้าวหน้ามาก งานที่ติดต่อมาก็มีมากขึ้น ใบสั่งงานก็มีมากมายล้นโต๊ะ การที่เขาจะต้องเขียนคำ Oll Korrect ลงในใบสั่งทุกใบทำให้ต้องใช้เวลามาก เขาจึงย่อเหลือเพียงสั้นๆ คำ O.K. ซึ่งมีผล และความหมายเหมือนกัน คำว่า "อนุมัติ" นั่นเอง และก็เลยมีการใช้กัน อย่างแพร่หลาย ทั้งภาษาพูด และภาษาเขียน มากันจนปัจจุบันทั่วโลกทีเดียว.

โรคต้อหินชนิดเรื้อรัง เกิดจากความไม่สมดุลระหว่างการใช้สายตา(Demand)และปริมาณเลือดแดงที่เข้ามาเลี้ยงเซลล์ประสาทตาภายในลูกตา(Supply) เมื่อเซลล์ประสาทตาได้รับเลือดมาหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอ จะค่อยๆทยอยเฉาตายลงไปเรื่อยๆ ความดันลูกตาที่สูงกว่าปกติ เป็นเพียงสาเหตุรองที่ต้านระบบไหลเวียนเลือด ทำให้ภาวะขาดเลือดดังกล่าวเลวลงไปอีก
ในอนาคตประเทศไทยจะมีผู้ป่วยโรคต้อหินเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจและสภาพเศรษฐกิจที่รัดตัว ผู้คนจะทำงานหนักมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้สายตา บวกกับความเจริญทางด้านไอที ทำให้มีการใช้คอมพิวเตอร์กันมากขึ้น และจะพบผู้ป่วยโรคต้อหินอายุน้อยลงเรื่อยๆ (จากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน การเล่นเกมส์ และการใช้อินเตอร์เน็ต) และเป็นกลุ่มของโรคต้อหินที่ไม่จำเป็นต้องมีค่าความดันลูกตาสูง ทำให้วินิจฉัยได้ยาก เหมือนในประเทศญี่ปุ่น ที่ขณะนี้มีผู้ป่วยโรคต้อหินชนิดความดันลูกตาปกติมากที่สุดในโลก
อาการของโรคต้อหิน มีความสำคัญในการช่วยให้ผู้ป่วยรู้ตัวว่าเป็นต้อหิน และนำผู้ป่วยให้ไปพบจักษุแพทย์ ทำให้ได้รับการวินิจฉัยโรคได้เร็วขึ้น อาการของโรคต้อหิน มีอะไรบ้าง?
1. ตาพร่า ตามัว เห็นภาพเบลอซ้อน หรือตามืดบอดชั่วขณะหนึ่ง
2. เห็นจุดแสงดำขาวเต็มไปหมด หรือเห็นเป็นแสงระยิบระยับเมื่อมองไปกลาง
3. ปวดในเบ้าตาลึกๆและปวดศีรษะข้างเดียวคล้ายไมเกรน หรือปวดจี๊ดขึ้น
4. ตาจะพร่า เมื่อมองวัตถุบนพื้นที่มีแสงจัดหรือบนพื้นที่มันวาว
5. อ่านหนังสือไม่ทน ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือดูโทรทัศน์ ได้ไม่นาน
6. เห็นดวงไฟมีแสงเจิดจ้า เป็นรัศมีกระจาย เห็นเป็นฝ้าหมอกหรือวงสีรุ้ง รอบดวงไฟ
7. เห็นแสงวาบคล้ายฟ้าแลบ หรือเห็นลำแสงวิ่งผ่านตา หรือเห็นเป็นเส้นหยักๆที่หางตา
8. มีความลำบากในการสังเกตุพื้นต่างระดับเวลาก้าวเดิน หรือเวลาขึ้นลงบันได
9. เห็นสีจืดจางลงหรือผิดเพี้ยนไป เห็นตัวหนังสือเลือนรางหรือแตกพร่า
10. การมองในที่มืดแย่ลง เห็นหน้าคนไม่ชัด และไม่กล้าขับรถในเวลากลางคืน
11. เวลาขับรถลงอุโมงค์ลอดทางแยกหรือเดินเข้าที่ร่มในเวลาแดดจัด ตาจะมืดบอดชั่วขณะ
12. เวลามองผ่านกระจกหน้ารถในทิศทางย้อนแสงอาทิตย์ ตาจะพร่าและสู้แสงไม่ค่อยได้
13. เวลากลางคืนมักจะเดินชนข้าวของเป็นประจำ ชอบที่จะเปิดไฟทุกดวงเท่าที่มี
14. มองสิ่งที่เคลื่อนที่เร็วๆไม่ทัน ทำให้ไม่มั่นใจเวลาขับรถหรือเดินข้ามถนนคนเดียว
15. ตาสู้แสงไม่ได้ ต้องใส่แว่นดำเป็นประจำ
16. เห็นแสงมืดลงไปเรื่อยๆ หรือเห็นเป็นหมอกควันอยู่ทั่วๆไป
17. ลานสายตาแคบเข้ามาเรื่อยๆ จนระยะท้ายเหมือนมองผ่านท่อกลม

วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2554

"ฟองน้ำ"ล้างจานแหล่งรวมเชื้อโรค


นางอรุณ บ่างตระกูลนนท์ รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข และในฐานะผู้วิจัยเรื่องอันตรายจากเชื้อโรคอาหารเป็นพิษ และปริมาณจุลินทรีย์ในแผ่นใยขัดและฟองน้ำทำความสะอาดภาชนะบรรจุอาหาร เปิดเผยว่า จากการเก็บตัวอย่างแผ่นใยขัดและฟองน้ำที่ใช้ล้างทำความสะอาดภาชนะบรรจุอาหาร และอุปกรณ์ประกอบอาหาร
เพื่อมาหาปริมาณจุลินทรีย์ และเชื้อแบคทีเรียก่อโรคเป็นพิษ พบว่าแผ่นใยขัดและฟองน้ำที่เก็บจากร้านค้าจำหน่ายอาหารมีปริมาณการปนเปื้อนเชื้อ จุลินทรีย์ทั้งชนิดที่ไม่ทำให้ป่วย และชนิดที่รุนแรงที่ทำให้ป่วย ส่วนเชื้อแบคทีเรียก่อโรคอาหารเป็นพิษในแผ่นใยและฟองน้ำจากร้านค้า โดยเชื้อโรคที่พบ ได้แก่ เชื้อซัมโมเนลล่า ซึ่งทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษและโรคอุจจาระร่วง เชื้ออหิวาต์เทียม ที่มีอาการท้องร่วงไม่รุนแรงเท่ากับโรคอหิวาต์

"จากงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าแผ่นใยขัดและฟองน้ำที่พบเชื้อโรคอาหารเป็นพิษ นั้นสามารถตรวจพบได้ทั้งในจาน ชาม ช้อน พร้อมกันนี้จำนวนเชื้อจุลินทรีย์ที่พบในแผ่นใยขัดและฟองน้ำมีอัตราสูงมาก ซึ่งพอเป็นข้อมูลได้ว่า โอกาส ที่เชื้อจุลินทรีย์ในแผ่นใยขัดและฟองน้ำอาจติดไปกับภาชนะที่ใช้แผ่นใย ขัดและฟองน้ำล้างทำความสะอาดได้ และโอกาสปนเปื้อนในอาหารได้" วิธีการทำลายเชื้อจุลินทรีย์ในแผ่นใยขัดและฟองน้ำหลังผ่านการล้างทำความ สะอาดภาชนะอุปกรณ์ต่างๆ โดยพบวิธีที่ง่ายและสามารถทำได้ทุกครัวเรือน คือ การใช้กรดน้ำส้มหรือน้ำส้มสายชู 4 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำเปล่าครึ่งลิตร แล้วนำแผ่นใยขัดหรือฟองน้ำที่ผ่านการล้างภาชนะในแต่ละวันมาแช่ทิ้งไว้ค้าง คืน และเปลี่ยนน้ำส้มสายชูใหม่ทุกวัน ภาวะที่มีความเป็นกรดสูงนั้น จะช่วยให้สามารถลดปริมาณเชื้อจุลินทรีย์ดังกล่าวลงให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย แก่การบริโภค
หรือไม่ก็ควรนำไปตากแดดจัด อย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง ความร้อนจากแสงแดดก็จะช่วยลดปริมาณจุลินทรีย์เช่นเดียวกัน



"ที่สำคัญไม่เพียงเท่านี้ควรทำความสะอาดแผ่นใยขัดและฟองน้ำ โดยผึ่งและทำให้แห้งหลังการใช้งานทุกครั้ง ไม่ควรแช่น้ำยาล้างจานทิ้งไว้จนกว่าจะมีการล้างครั้งใหม่ เนื่องจากไม่สามารถช่วยฆ่าเชื้อโรคได้ ยังเป็นตัวหมักหมมเชื้อโรคด้วย ทั้งนี้ ควรเปลี่ยนแผ่นใยขัดและฟองน้ำบ่อยๆ ไม่ควรเก็บไว้ใช้นานจนเกินไป"

15 อาหารที่อันตราย...

1.ขนมปังปี๊บ ไม่ควรบริโภค เพราะกระบวนการผลิตขนมปังบรรจุปี๊บบางแห่งไม่มีคุณภาพ
2.เชอร์รี่บนขนมเค้กตามตลาดสด เชอร์รี่สีแดง สีเขียว วางประดับเหนือครีมสีขาว บนขนมเค้ก ส่วนใหญ่จะย้อมสี ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะเสื่อมในไต
3.ซูชิในตลาดนัด ของสดบวก กับความร้อนและเชื้อแบคทีเรียในอากาศ ผู้ที่ซื้อไปรับประทานก็จะมีอาการท้องร่วงท้องเสียตามมา
4.เอแคลร์-ลูกชุบ หรือขนมที่มีการปั้นๆ ถูๆ ต้องพึงระวังสุขอนามัย รวมถึงสีที่ใช้ ซึ่งหลายเจ้าไม่ได้ใช้สีผสมอาหาร ใครทานเข้าไปก็เตรียมใจรับสารตะกั่ว
5.ลูกอมสีประหลาด สีเหล่านี้อาจเต็มไปด้วยสารตะกั่วและโลหะหนัก เพื่อสุขภาพที่ดีของปากและฟัน ควรหนีห่างเป็นดีที่สุด
6.อาหารทะเลปลายฤดูร้อน อาจมีเชื้อไวรัส แบคทีเรียมากกว่าปากติ ฉะนั้นโอกาส ท้องเสียจึงมีสูง หากจะทานก็ควรล้างน้ำเกลือให้สะอาด เพื่อชะล้างฝุ่นดินโคลนออกเสีย
7.อาหารสำเร็จรูปไมโครเวฟ ที่มีวางขายหลากหลายยี่ห้อ ซึ่งบรรจุภัณฑ์ชนิดนี้ไม่ควรนำกลับมาใช้ซ้ำ เพราะเคมีในพลาสติกจะซึมสลายปะปนกับอาหาร สะสมในร่างกาย
8.โยเกิร์ตตามซูเปอร์มาร์เก็ต ผู้ผลิตบางรายอาจผสมแป้งลงไป เพื่อให้ได้ปริมาณและความข้น ขณะที่ผลไม้เชื่อมที่ใช้ก็ถูกสลายด้วยเกลือแร่และวิตามินซีไปนานแล้ว
9.น้ำปลาเปิดขวด ควรมีอายุการใช้ไม่เกิน 1 เดือน เพื่อป้องกันการวางไข่ของแมลงวัน และเชื้อโรคตามอากาศที่ปะปนอยู่ในขวด
10. ขวดซอสมะเขือเทศ ซอสพริก ที่เปิดใช้แล้ว แม้จะเก็บไว้อย่างดีในตู้เย็น แต่หากเปิดใช้เหลือเกินกว่าวันที่ฉลากระบุ ก็ต้องจัดการทิ้งถังขยะ เพราะเชื้อราตามคอขวด ซอสเหล่านี้ เติบโตเร็ว
11.กระดาษหนังสือพิมพ์ ห่อผักสด เข่งปลา วางจำหน่ายอยู่ทั่วไป อันนี้กินไม่ได้แต่สัมผัสกับอาหาร เนื่องจากสารพิษจากหมึกจะปนเปื้อนในอาหารได้ ควรหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะนำ ไปห่อผักแช่ตู้เย็น
12.อาหารกระป๋อง ถ้าใช้ไม่หมดควรเอาออกจากกระป๋องใส่ภาชนะอื่นแช่ตู้เย็น เพราะอากาศจะเร่งปฏิกิริยาให้อาหารปนเปื้อนสารจากกระป๋องได้ง่าย
13.ฟองน้ำล้างจาน นี่ก็ไม่ใช่ของกิน แต่ก็สำคัญเพราะหากนำฟองน้ำล้างจาน กลับมาใช้ซ้ำหลายๆ ครั้ง แบคทีเรียที่มีน้ำยาผสมน้ำทิ้งไว้จึงไม่ควรทิ้งไว้นานเกิน 1 ชั่วโมง หากต้องการกำจัดเบื้องต้น เคล็ดลับง่ายๆ โดยนำฟองน้ำล้างจานไปแช่ในน้ำส้มสายชู แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น
14.อาหารหมักดอง เพราะเชื้อไวรัสในอาหารหมักดองมีฤทธิ์มากพอที่จะทำลายกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยเฉพาะอาหารหมักดองที่ขายตามตลาด
15.เบียร์สด ซึ่งมีกรรมวิธีการผลิตแตกต่างจากเบียร์บรรจุขวด เพราะจะไม่ถูกกรองยีสต์ที่ตายแล้ว ก็อาจจะทำให้ได้รับซากยีสต์จากการดื่มด้วย ซึ่งต้องระมัดระวังหากใครมีปัญหาเรื่องภูมิต้านทานแบคทีเรีย

วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เจ้าของกูเกิ้ล google


กูเกิล เป็นบริษัทมหาชนอเมริกัน มีรายได้หลักจากการโฆษณาออนไลน์ที่ปรากฏในเสิร์ชเอนจินของกูเกิล อีเมล แผนที่ออนไลน์ ซอฟต์แวร์จัดการด้านสำนักงาน เครือข่ายออนไลน์ และวิดีโอออนไลน์ รวมถึงการขายอุปกรณ์ช่วยในการค้นหา กูเกิลสำนักงานใหญ่ที่รู้จักในชื่อกูเกิลเพล็กซ์ตั้งอยู่ที่เมืองเมาน์เทนวิว รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยมีพนักงาน 16,805 คน (31 ธันวาคม 2550) โดยกูเกิลเป็นบริษัทอเมริกันที่ใหญ่ที่สุดที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของดัชนีดาวโจนส์ (ข้อมูล 31 ตุลาคม พ.ศ. 2550)


กูเกิลก่อตั้งโดย แลร์รี เพจ และ เซอร์เกย์ บริน ขณะที่ทั้งคู่กำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ซึ่งภายหลังทั้งคู่ได้ก่อตั้งบริษัทเมื่อวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2541 ในโรงจอดรถของเพื่อนที่ เมืองเมนโลพาร์ก ในรัฐแคลิฟอร์เนีย และมีการเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก เมื่อ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2547 เพิ่มมูลค่าของบริษัท 1.67 พันล้านเหรียญสหรัฐ และหลังจากนั้นทางกูเกิลได้มีการขยายตัวตลอดเวลาจากการพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่และการซื้อกิจการอื่นรวมเข้ามา กูเกิลได้ถูกจัดอันดับให้เป็นบริษัทที่น่าทำงานมากที่สุดในสหรัฐอเมริกาโดยนิตยสารฟอร์จูน ซึ่งมีคติพจน์ประจำบริษัทคือ Don't be evil อย่างไรก็ตามทางบริษัทได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ในด้านการละเมิดข้อมูลส่วนตัว การละเมิดลิขสิทธิ์ และการเซ็นเซอร์ในหลายส่วนปัจจุบัน กูเกิ้ล มีรายได้ 23,651ล้านUSD หรือประมาน 756,000 ล้านบาท และมีสินทรัพย์กว่า 41,000ล้านUSD หรือกว่า1.312ล้านล้านบาท และทำให้คู่หูแลร์รี เพจ และ เซอร์เกย์ บริน กลายเป็นอภิพญามหาโคตะระเศรษฐีจากการจัดอันดับของForbes โดย เซอร์เก บริน และ ลาร์รี่ เพจอยู่ในอันดับที่24เท่ากัน มีสินทรัพย์ 17,500 ล้านUSD หรือประมาน 560,000ล้านบาท

วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2554


แหวนที่แพงที่สุดในโลก


แหวนที่มีราคาค่างวดสูงที่สุดในโลกมีชื่อว่า Chopard Blue Diamond หัวแหวนเป็นเพชรบลูไดมอนด์รูปไข่ ประดับด้วยเพชรด้านข้างและทองคำขาว 18k สนนราคาประมาณ 520 ล้านบาท





หนังสือที่แพงที่สุดในโลก


คงด้วยเนื้อหาที่เกี่ยวกับประวัติรวมทั้งผลงานของ ไมเคิล แองเจโล ประติมากรเอกของโลก และหน้าปกที่ทำด้วยหินอ่อนพร้อมการลงทุนลงแรงที่ทำกันนานถึงหกเดือนเต็ม ทำให้สนนราคาหนังสือเล่มนี้สูงลิ่วถึง 100,000 กว่าดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3 ล้านกว่าบาทเท่านั้นเอง




ค็อกเทลราคาแพงที่สุดในโลก

27321 คือชื่อของค็อกเทลที่มีราคาแพงที่สุดในโลก มีขายที่โรงแรม Burj al Arab ในดูไบ ราคาประมาณ 7,450 ดอลล่าร์ต่อหนึ่งแก้ว เหตุที่มีราคาแพงหูฉี่ก็เพราะมีส่วนผสมของเครื่องดื่มเก่าแก่อายุ 55 ปี คือ Macallan Single Malt Scotch Whisky จากสกอตแลนด์ ผสมกับน้ำผลไม้และน้ำตาล Maraculija แถม เสิร์ฟด้วยแก้วทองคำซะด้วย








ประติมากรรมที่แพงที่สุดในโลก
อีกหนึ่งผลงานทำเงินติดอันดับท็อป 5 ของโลก เมื่อบริษัทซอเทอบีส์ (Sotheby’s) กรุงลอนดอน จัดประมูลงานประติมากรรมรูปคนเดินขนาดเท่าคนจริงที่ชื่อ L’Homme qui Marche I (The Walking Man) ของศิลปินชาวสวิส Alberto Giacometti และขายไปได้ในราคา 104.3 ล้านดอลลาร์ (3,441 ล้านบาท) โดย Giacometti นี้ถือเป็นศิลปินคนสำคัญในกลุ่ม Surrealist ผู้มีผลงานหลายร้อยชิ้น ส่วนประติมากรรมคนเดินทำจากทองสัมฤทธิ์สูง 183 เซนติเมตรนี้ ได้ชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ของมนุษย์ผู้ถ่อมตนและเป็นผลงานชิ้นเยี่ยมของศิลปะสมัยใหม่ ถือเป็นการลงทุนเพื่อหาเพื่อนเดินที่แพงที่สุดในโลก





ดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ต่อให้คนมือบอนแค่ไหนก็คงเด็ดดอกไม้ดอกนี้ไม่ไหว เพราะดอกไม้ Rafflesia Arnoldii เผ่าเดียวกับ Rafflesia มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 3 เมตร และมีน้ำหนักมากถึง 11 กิโลกรัม พบได้มากตามป่าฝนแถบเกาะสุมาตรา เกาะบอร์เนียว ของอินโดนีเซีย และประเทศฟิลิปปินส์เท่านั้น หนุ่มไหนเด็ดมาให้ได้รักตายเลย

































































วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ดื่มนมเปรี้ยวไม่ทำให้ผอม

นมเปรี้ยวเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการนำนม มาหมักด้วยจุลินทรีย์ที่ไม่ทำให้เกิดโรค จุลินทรีย์จะเพิ่มจำนวนมากขึ้น และทำปฏิกิริยากับน้ำตาลแลคโตส ซึ่งเป็นน้ำตาลธรรมชาติในน้ำนม เกิดกรดแลคติคที่มีรสเปรี้ยว ได้นมที่มีลักษณะเป็นครีมข้นๆ เรียกว่า โยเกิร์ตชนิดรสธรรมชาติ แต่ในบ้านเรานิยมเติมน้ำตาล น้ำเชื่อม ผลไม้เชื่อมลงไป หรือทำให้เหลวแล้วเติมน้ำตาล และแต่งรสผลไม้เป็นนมเปรี้ยวชนิดดื่ม ซึ่งเป็นชนิดที่นิยมกันมาก แต่นมเปรี้ยวชนิดดื่มที่นิยมกันอย่างมากในปัจจุบันนั้น ส่วนใหญ่มีนมเป็นส่วนประกอบเพียงร้อยละ 35-50 และที่สำคัญนมเปรี้ยวชนิดดื่มเหล่านี้ รวมทั้งชนิดไลท์ที่ทำมาจากนมพร่องมันเนย มีน้ำตาลผสมสูงถึงร้อยละ 8-20 สูงกว่านมหวานอย่างมาก และสูงใกล้เคียงกับน้ำอัดลมทีเดียว "ดื่มนมเปรี้ยว 1 กล่อง (180 มล.) จึงได้น้ำตาล 3 ช้อนชา บางยี่ห้อมีน้ำตาลสูงถึง 7 ช้อนชา ในขณะที่แนะนำให้กินน้ำตาลไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา ดื่มนมเปรี้ยววันละ 2 กล่อง จึงหมดโควตาแล้ว จึงไม่ต้องสงสัยว่ายิ่งดื่มนมเปรี้ยวมาก วันละหลายกล่อง แทนที่จะผอมลง กลับน้ำหนักเพิ่มขึ้น เพราะนมเปรี้ยวที่มีน้ำตาลสูงเหล่านี้ให้พลังงานพอๆ กับนมสดรสจืด และสูงกว่านมจืดพร่องมันเนย แต่มีโปรตีน แคลเซียม วิตามิน และแร่ธาตุอื่นเพียงครึ่งเดียว และไม่ต้องหวังว่าจะได้ประโยชน์จากจุลินทรีย์ที่ยังมีชีวิต เนื่องจากกระบวนการผลิตนมเปรี้ยวชนิดดื่มแบบยูเอชที จุลินทรีย์ตายหมดแล้ว จึงควรเข้าใจเสียใหม่ว่านมเปรี้ยวไม่ได้ช่วยให้ผอม คนอ้วนจึงควรดื่มนมจืดพร่องมันเนย ถ้าดื่มนมสดแล้วไม่สบายท้องหรืออยากเปลี่ยนรสชาติบ้าง ก็ให้เลือกโยเกิร์ตรสธรรมชาติ หรือเพลนโยเกิร์ต จะดีกว่า คนที่ไม่อ้วนถ้าอยากดื่มนมเปรี้ยวให้เลือกชนิดที่มีส่วนผสมเป็นนมวัวสูง และมีน้ำตาลต่ำ

ซีวีที่ดี ต้องไม่มีแบบนี้

ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่เอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้แบบนี้ ทำให้ตำแหน่งงาน กับผู้สมัครงานนั้นไม่ค่อยจะสัมพันธ์กันเท่าไหร่ และแน่นอนว่าไอ้ที่ว่าไม่สัมพันธ์กันนั้น ต้องหมายถึงงานนนั้นมีน้อยกวาผู้สมัครงานอย่างแน่นอน
และด้วยความที่เดี๋ยวนี้กลายเป็นยุคของงานที่เป็นฝ่ายเลือกคน ดังนั้นวันนี้เราก็เลยอยากจะเอาทริคดี ๆ เกี่ยวกับการเขียนซีวี หรือใบสมัครงานที่ดีมาฝากกัน เพราะใบสมัครงานนั้น ถือเป็นปราการด่านแรกที่จะตัดสินตัวคุณได้เลยว่าคุณนั้นน่าสนใจสำหรับงานนั้น ๆ หรือไม่ และซีวีที่ดีจะต้องไม่มีข้อความดังต่อไปนี้
1. ถ้อยคำโกหก แน่นอนว่าไม่ว่าใครต่างก็อยากได้งานที่ตัวเองสมัครกันทั้งนั้น แต่เพื่อการนี้คุณก็ไม่จำเป็นต้องโกหก เมคข้อมูลต่าง ๆ ขึ้นมาเพื่อให้คุณดูดีกว่าผู้สมัครรายอื่นก็ได้นี่หน่า เพราะสุดท้ายแล้ว ฝ่ายบุคคลที่เป็นเซียนในด้านการสัมภาษณ์อาจจะต้อนจนคุณจนมุมได้ หรือไม่เช่นนั้นคุณอาจจะแพ้ภัยตัวเอง เพราะลืมไปว่าคุณเผลอโกหกอะไรไว้ตอนเขียนใบสมัครก็เป็นได้

2. ไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน จำเอาไว้ว่า คุณต้องตั้งเป้าหมายของคุณให้ชัดเจนก่อนเขียนใบสมัครงาน เช่นคุณอยากทำงานในตำแหน่งประชาสัมพันธ์ก็เขียนไปเลยว่าคุณอยากเป็นประชาสัมพันธ์เพราะอะไร ไอ้ประเภทที่ว่า ตำแหน่งอะไรก็ได้ที่เหมาะสม ให้ลืมไปได้เลย เพราะบางครั้งฝ่ายบุคคลอาจจะเกิดแฮงค์ขึ้นมากระทันหัน เพราะเขาเองก็อาจจะเลือกตำแหน่งที่เหมาะสมกับคุณไม่ถูกพอ ๆ กับที่คุณเองก็เลือกตำแหน่งที่ต้องการไม่ถูกเช่นกัน
3. ข้อความยาวเกินก็ไม่มีใครอ่าน เดี๋ยวนี้เวลาเป็นเงินเป็นทอง ทุก ๆ นานั้นมีค่ามาก และฝ่ายบุคคลเองเขาก็ไม่ได้มีหน้าที่แค่รับสมัครพนักงานเพียงอย่างเดียวเช่นกัน ดังนั้นการเขียนซีวีที่ยาวเกินควาจำเป็นจนจะเป็นน้อง ๆ นิยายเล่มเล็ก ๆ ก็จงลืมไปเสียเถิด เพราะซีวีที่ดีต้องสั้น กระชับ ได้ใจความ เพราะคุณเองก็คงไม่อยากมานั่งอ่านซีวีที่ยาวยืเป็นวัน ๆ หรอกใช่มั้ยล่ะ

4. ข้อความตัดพ้อ สำหรับกรณีที่คุณออกจากที่ทำงานเก่าด้วยความรู้สึกที่ไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานไม่ดี บรรยากาศในการทำงานแย่ เจ้านายไม่เอาใจใส่ หรือกฏเกณฑ์ต่าง ๆ ของบริษัทเดิมไม่ยุติธรรม คุณก็ไม่ควรจะเอาไปใส่ไว้ในซีวี เพราะนั่นเท่ากับคุณเป็นกระบอกเสียงเล็ก ๆ ที่ประจานความไม่ดีของที่ทำงานเดิมแบบไม่เจตนาก็ได้ และนั่นก็จะส่งผลต่อการพิจารณาของที่ทำงานที่คุณไปสมัครด้วย เพราะเขาเองก็อาจจะสงสัยได้ว่า หากคุณไม่พอใจบริษัทของเขา คุณเองก็อาจจะเอาบริษัทไปว่าได้ในใบสมัครงานฉบับหน้าของคุณก็ได้ใครจะรู้
>>++10 สุดยอดทำให้สมองบันเจิด++<<
การใช้สมองตลอดทั้งวันทำให้สมองของเราอ่อนล้าอย่างมากวันนี้เอา10 สุดยอดวิธีที่ทำให้สมองบันเจิดแจ่มใสมาฝากกันครับ
อันดับที่ 10 นอนหลับอย่างเพียงพอ
ใครๆก็รู้ว่าการพักผ่อนเป็นสิ่งที่จำเป็นของมนุษย์ ถ้าวันไหนอดนอนหรือนอนไม่ได้เต็มที่แน่นอนคุณจะต้องออกอาการเบลอ คิดอะไรไม่ออกเป็นแน่แท้ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นหรือครับ ก็เพราะว่าการอดหลับอดนอน มันมีผลต่อระบบต่างๆในร่างกายของเฮา โดยเฉพาะในส่วนของการรับรู้ ดังเช่น ความทรงจำ และ สมาธิ นอนไม่พอยังทำให้เกิดปรากฎการณ์ ที่เรียกว่า snowball effect แถมจะมีผลเรื้อรังอีกด้วยนะ!! ทำไง? เข้านอนให้ตรงเวลา ก่อนนอนก็อย่าแจ้นไปกินข้าว เล่นเกมส์หรือ หาโน่นหานี่มาทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงฤดูหนาว พยายามเข้านอนแต่หัวค่ำ จะได้ตื่นขึ้นมารับรุ่งอรุณ ได้อย่างแจ่มใส เข้านอนแต่หัวค่ำจะช่วยให้คุณอารมณ์ดีและ กระปรี้กระเปร่าด้วยนะ เจ๋งไหมละ!!
อันดับที่ 9 ผ่อนคลายการผ่อนคลาย

ถือเป็นอีกทางหนึ่งที่ทำให้สมองแจ่มใส วิธีในการผ่อนคลายมีหลากหลายวิธีตามแต่คุณจะชอบอาทิ การฟังเพลงเบาๆ ร้องคาราโอเกะ การนั่งสมาธิ เช่นโยคะ เป็นต้น และมีมากมายร้อยแปดประการ
อันดับที่ 8 ออกกำลังกายการ

ออกกำลังกายถึงจุดจะทำให้ร่างกายหลั่งสารความสุข ผมเป็นคนหนึ่งที่ติดการออกกำลังกายมากถ้าวันไหนไม่ได้ออกจะแทบคลั่งเลยทีเดียว ออกกำลังกายนอกจากจะทำให้สุขภาพกายดีแล้วยังทำให้สุขภาพจิตดีด้วยสมองก็แจ่มใส่ นอกจากนั้นการออกกำลังกายยังจะทำให้่ช่วยให้ ระบบเผาผลาญพลังงานดีขึ้น และทำให้หัวใจไม่เสื่อมเร็วด้วย ทำไง? ไปออกกำลังกายไง เน้นการออกกำลังกายที่เน้นการทำงานของหัวใจ และออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ
อันดับที่ 7 กินเยอะๆ พวกผักสีเขียวและผักหลาก
สี
ผักสีเขียวหรือผักหลายสีนัี้นจะมีวิตามินที่เป็นประโยชน์สูงปริ๊ดดดดดดด ทั้งยังมีแอนตี้ออกซิเด้นที่จะช่วยป้องกัน ความจำเสื่อม เช่น vitamin E,C,B มีอยู่เยอะในผักสีเขียว ดังนั้นกินเข้าไปโลด ดีทั้งนั้น ทำไง? กินผักผลไม้ไม่ใช่เรื่องยากเลยนะ ลองทำอาหารบำรุงสมองเช่นสลัดดูก็ได้
อันดับที่ 6 เข้าเรียน!!

ทำไมละ? ก็ความรู้คือพลังไงละ เคยได้ยินบ่? ทำไงดี? พยายามหาความรู้เข้าสมองให้เยอะๆ มีเรียนก็เข้าเรียน หุๆ แค่เพียงการ เทคคอร์สสักคอร์ส เพียงคอร์สเดียว ก็จะช่วยให้คุณได้ความรู้ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นแล้วแหล่ะ รู้มาก เก่งมาก ไม่ยาก ใช่ไหม....
อันดับที่ 5 เล่นเกมส์พัฒนาสมอง
ทำไม? เกมส์ด้านตรรกะ จะช่วยให้คุณได้ใช้งานสมอง ด้านซ้าน ช่วยพัฒนากระบวนการคิดอย่างมีเหตุมีผล และทำให้กระบวนการคิดด้านตรรกะดีขึ้น ทำไง? เดี๋ยวนี้มีเกมส์แนวนี้เยอะแยะ เช่นเกมส์อักษรไขว้ โซดูกุ หาซื้อสักเล่มก็ได้ หรือจะเล่นวีดีโอเกมส์ หรือเกมส์คอมฯ ที่มันเอาไว้ "พัฒนาสมอง" หรือไม่ก็หาเล่นเกมส์แนวนี้ออนไลน์ ก็ได้ มีเยอะแยะเีชียวแหละคับ ก็ลองหาไรทำเป็นกลุ่มดูสิ
อันดับที่ 4 อ่านมากเก่งมากทำไม?

คงไม่มีใครจะปฎิเสธนะครับว่าการอ่านมีประโยชน์แค่ไหน เดี๋ยวนี้นิยายหลายเรื่อง ก็มีในรูปแบบดิจิตอล หรือหาอ่าน แบบออนไลน์ก็ได้ ทำไง? เลือกหนังสือมาสักเล่ม แล้วเริ่มอ่าน อ่านปกมันดูก่อนก็ได้ แล้วลองหาดูว่า เล่มไหนที่เราอยากอ่าน หาเจอแล้วก็อ่านมันเสีย
อันดับที่ 3 หางานอดิเรกที่สร้างสรรค์ทำ
ทำไม? งานด้าน Creative จะพัฒนาสมองด้านขวา ในขณะที่ สมองด้านซ้ายจะเกี่ยวกับด้านความคิด ตรรกะต่างๆ พยายามใช้สมองทั้งสองด้าน แล้วสมองของคุณจะแจ่ม!! ทำไง? ใช้เวลาสักชั่วโมง เพื่อทำงานอดิเรกที่ creative เช่น วาดรูป แกะสลัก ถ่ายภาพ หรือแม้แต่ทำอาหาร ถ้าคุณไม่รู้จะทำ ไรดี ก็ลองหาไรทำเป็นกลุ่มดูสิ
อันดับที่ 2 เลิกบุหรี่!ทำไม?

นอกจากการสูบบุหรี่จะทำร้ายคนอื่นแล้ว ควันบุหรี่นี่แหละที่เ่ป็นปัจจัยที่ทำให้คุณ ดูแก่ขึ้น และลดความสามารถในการจดจำ ทำไง? การเลิกบุหรี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าใดนัก แต่มันก็ ทำได้นะครับ มีวิธีแนะนำหลายๆอย่างเลยเกี่ยวกับ การเลิกบุหรี่ ลด ละ เลิก ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ใช้ได้ผลดีทีเดียว
อันดับที่ 1 เล่นเกมส์แนววางแผนทำไม?

การเล่นเกมส์ที่เกี่ยวกับการวางแผนจะช่วยให้คุณเพิ่ม ทักษะการคิดด้านการวางแผนและทำให้คุณรู้จัก วิธีแก้ปัญหาที่คล้ายๆกันได้ หากเจอปัญหาในชีวิตจริง ทำไง? เกมส์แนวนี้มีเยอะ ทั้งเกมส์กระดาน เช่น หมากรุก หรือวีดีโอเกมส์ ก็มีแนวนี้เยอะจะตาย เลือกสักเกมส์ที่คุณอยากเล่นดู หวังว่าบทความเหล่านี้จะช่วยให้คุณได้รู้วิธีทำให้้สมองแจ่ม