วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2554


ปัจจุบัน แล็ปท็อป หรือ โน้ตบุ๊ก กลายเป็นอุปกรณ์สุดไฮเทค ที่จำเป็นสำหรับวัยรุ่นหรือหนุ่มสาววัยทำงานหลายคนไปซะแล้ว นับตั้งแต่คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทกับเรา ๆ ไปซะทุกด้าน และโน้ตบุ๊กก็ดูเหมือนจะเป็นคอมพิวเตอร์ที่แสนฮิตฮอตซะเหลือเกิน เพราะมันสามารถพกพาไปไหนได้สบาย และด้วยความสะดวกสบาย พกพาง่ายของมันนี่แหละ ทำให้เจ้าโน้ตบุ๊กสามารถเล่นได้ทุกที่ทุกเวลา แม้จะไม่มีโต๊ะให้วาง ก็วางบนตักของตัวเองได้อย่างง่าย ๆ พอ ๆ กับที่มันก็ทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อนขึ้นมาได้อย่างง่าย ๆ อีกเช่นกัน

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าการเล่นโน้ตบุ๊กบนตักนั้น ทำให้คนเจ็บป่วยกับมันได้จริง ๆ เหมือนกับกรณีของเด็กชายวัย 12 ปีชาวอเมริกัน ที่ติดนิสัยชอบเล่นโน้ตบุ๊กไว้บนตัก แล้วอยู่กับมันวันละ 2-3 ชั่วโมง ปรากฏว่า 2 เดือนให้หลัง ผิวของเด็กก็ไหม้และด่างโดยไม่รู้ตัวเลยทีเดียว

นอกจากนี้ ยังมีผู้ใช้โน้ตบุ๊กอีกกว่า 10 ราย รายงานเข้ามาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2007 ว่าความร้อนจากโน้ตบุ๊ก ทำให้ผิวไหม้และทำให้ผิวด่างเช่นเดียวกันกับกรณีดังกล่าว ขณะที่ทางทีมแพทย์เชื่อว่า คงจะมีผู้ที่ได้รับอันตรายจากความร้อนใต้โน้ตบุ๊กมากกว่านั้นอย่างแน่นอน

งานนี้ บรรดาแพทย์ชาวอเมริกันก็เลยออกมาเตือนว่า ความร้อนที่ระบายออกมาบริเวณใต้โน๊ตบุ๊คนั้น ทำให้ผิวไหม้และหากติดนิสัยเล่นโน้ตบุ๊กบนตักนาน ๆ ก็จะทำให้เป็นมะเร็งบริเวณหัวเข่าหรือต้นขาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้านี้ ที่หลายคนชอบเอาโน้ตบุ๊กวางบนตักซะเหลือเกิน เพราะมันทำให้รู้สึกอุ่นขึ้นได้ โดยไม่คำนึงถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น แพทย์จึงแนะนำให้ผู้ที่ชอบวางโน้ตบุ๊กไว้บนตัก เปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองเสียตั้งแต่บัดนี้ ขณะที่ทางด้านบริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์อย่างแอปเปิ้ล และเดลล์ ก็เคยเตือนผู้ใช้ว่าอย่าวางโน้ตบุ๊กไว้บนตักเช่นกัน ทั้งนี้ ก็เพียงแค่อยากให้ผู้ใช้ได้ตระหนักถึงอันตรายระยะยาว ซึ่งอาจจะทำให้เกิดมะเร็งได้ในอนาคต



หลังจากเกิดเหตุแผ่นดินไหวและสึนามิถล่มประเทศญี่ปุ่นไปเมื่อวันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 2554 ที่ผ่านมา ได้สร้างความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงให้กับประเทศญี่ปุ่น ทั้งทรัพย์สิน จิตใจ ชีวิต รวมไปถึงภาพรวมของเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ

แต่ที่ทำให้หลายคนวิตกกันมากขึ้นคือโรงงานไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์เกิดระเบิดขึ้น ทำให้มีสารกัมมันตรังสีรั่วไหลออกมาปนเปื้อนเป็นจำนวนมาก ซึ่งในขณะนี้ก็มีมาตรการป้องกันระดับสูงออกมาแล้วเช่นกัน โดยหลังการระบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ก็มีการอพยพผู้คนในพื้นที่ออกมากว่า 180,000 คน และดำเนินการจำกัดพื้นที่การแพร่กระจายต่อไป แต่อย่าเพิ่งกังวลไปว่าจะมีการแพร่กระจายมายังประเทศใกล้เคียงรวมถึงบ้านเรา เพราะองค์การอนามัยโลกออกมาประกาศแล้วว่ายังไม่ีมีรายงานการแพร่กระจายของสารกัมมันตรังสียังประเทศอื่น หรือสร้างความเสียหายแก่ระบบนิเวศจนมีผลกระทบต่อเรา แต่เพื่อเป็นความรู้เบื้องต้น เราลองไปทราบถึงอันตรายและทางป้องกันสารกัมมันตรังสีกันหน่อยดีกว่าค่ะ


อันตรายเบื้องต้นจากสารกัมมันตรังสี


ศาสตรจารย์โดนัลด์ โอแลนเดอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมนิวเคลียร์แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียออกมาเตือนว่า สารกัมมันตรังสีที่แพร่กระจายออกมาปนเปื้อน เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง หรือเร่งการเกิดมะเร็งในผู้ป่วยบางรายที่อาจจะมีเซลล์มะเร็งอยู่แล้ว แต่ในเบื้องต้นสารกัมมันตรังสีที่มีระดับสูงอาจจะก่อให้เกิดมะเร็งต่อมไทรอยด์ได้ในทันที แต่ในระยะยาวอาจเกิดการสะสมของฝุ่นกัมมันตภาพหลายปีจนก่อให้เกิดมะเร็งในส่วนอื่น ๆ เช่น มะเร็งกระดูก มะเร็งรังไข่ ลูคีเมีย เป็นต้น เด็กเล็กและทารกในครรภ์เป็นกลุ่มที่เสี่ยงมากจากการได้รับอันตรายจากสารกัมมันตรังสี ซึ่งในร่างกายของผู้ใหญ่ปกติจะมีกระบวนการรักษาและซ่อมแซมดีเอ็นเอที่มีการเปลี่ยนแปลงหรือถูกทำลายได้เองหากกระบวนการนั้น เกิดขึ้นไวกว่าการถูกทำลาย แต่เด็กและทารกในครรภ์ เซลล์ในร่างกายมีการแบ่งตัวไวกว่าผู้ใหญ่ จึงเป็นไปได้ว่าการแพร่กระจายของสารกัมมันตรังสีในร่างกายก็อาจจะไวกว่ากระบวนการรักษาและซ่อมแซมดีเอ็นเอนั่นเอง ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าเด็กที่เกิดออกมาอาจจะมีความผิดปกติ หรือเป็


สารกัมมันตรังสีทำให้เกิดการกลายพันธุ์ได้จร


ที่เคยดูหนังประเภทสัตว์หรือสัตว์ที่ได้รับสารกัมมันตรังสีและกลายพันธุ์เป็นสัตว์ประหลาดออกอาละวาด หยุดความคิดนั่นไว้ก่อนค่ะ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายได้รับสารกัมมันตรังสีคือ DNA Mutations หรือการเปลี่ยนแปลงของพันธุกรรม ซึ่งในที่นี้หมายถึง สารกัมมันตรังสีมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสารพันธุกรรมในเซลล์ของมนุษย์ และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ และเมื่อเซลล์มีการเปลี่ยนแปลงหรือผิดปกติก็จะทำให้เกิดโรคต่าง ๆ อย่างโรคมะเร็ง โรคผิวหนัง เป็นต้น


การปนเปื้อนของสารกัมมันตรังสีในระ


นอกจากการรับสารกัมมันตรังสีโดยตรงแล้ว ยังรวมไปถึงสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ และระบบนิเวศด้วย เช่น การปนเปื้อนในน้ำนมวัว เพราะวัวอาจจะกินหญ้าที่มีฝุ่นกัมมันตภาพปลิวมาตก และส่งผ่านไปยังน้ำนมที่นำมาบริโภค อีกส่วนหนึ่งที่กำลังเป็นความกังวลอย่างมากคือ บรรดาสิ่งมีชีวิตและระบบนิเวศในทะเลและมหาสมุทร เพราะเมื่อฝุ่นกัมมันตภาพที่จับตัวกับความชื้นในอากาศตกลงมาพร้อมฝน ก็จะเกิดการปนเปื้อนฝนในแหล่งน้ำจืดที่ใช้เป็นน้ำดื่ม ทะเลหรือมหาสมุทร รวมถึงสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในบริเวณดังกล่าวก็จะได้รับอันตรายไปด้วย ซึ่งจะนำไปอีกหนึ่งความกังวลในเรื่องอาหารทะเลมีอาจการปนเปื้อนของสารกัมมันตรังสีไปด้วย


หน้ากากป้องกันก๊าซพิษ


หน้ากากป้องกันแก๊สพิษ – สวมใส่เพื่อป้องกันการหายใจเอาฝุ่นกัมมันตภาพเข้าสู่รางกายโดยตรงในบริเวณที่อาจมีการแพร่กระจายไปถึง


หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่อาจจะมีการปนเปื้อนได้ง่าย - เช่น นมวัว เนื้อสัตว์ น้ำดื่ม ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบเสียก่อนว่าปลอดภัยกับการบริโภค


ยาโพแทสเซียม ไอโอไดด์ (Potassium Iodide pills) - เป็นยาที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งไทรอยด์ ในกรณีที่อาจจะได้รับฝุ่นกัมมันตภาพและเกิดอาการของโรคมะเร็งไว แต่ไม่สามารถใช้ป้องกันมะเร็งอื่น ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในระยะยาวซึ่งเกิดจากการสะสมสารกัมมันตรังสีเป็นเวลาหลายปี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น